วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

superhero ในสื่ออื่นๆ

เกมส์console PS/PS2/PS3/XBox เป็นต้น
Marvel Ultimate Aliance PS2


เมื่อเหล่าซุปเปอร์ ฮีโร่แห่ง Marvel มารวมตัวกันเราก็คงเดาได้ว่าต้องมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นแน่ๆ ฮีโร่อาจต้องตาย บางคนก็ตายชั่วคราวเพื่อฟื้นกลับมาในชุดที่ปัญญาอ่อนยิ่งกว่าเดิม บางคนก็ตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ได้ หรือบางคน (อย่างเช่น Spider Man) ก็ถูกเอารัดเอาเปรียบจนเกินไป (ต้องปรากฏตัวทั้งในการ์ตูนของตัวเอง การ์ตูนของคนอื่น แถมยังต้องแสดงภาพยนตร์ด้วย) Marvel Ultimate Alliance เกมใหม่จากค่าย Raven ได้รวบรวมเอาเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่กว่า 20 ชีวิตตั้งแต่ Spider Man จนถึง Dr. Strange แต่เรื่องที่ร้ายยิ่งกว่านั้นคือ... เล่นไปแล้วเกมมันจบนี่สิ


Raven ได้กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาเกมภายใต้รูปแบบที่ประสบความสำเร็จ อย่างสูงของเกม X-Men Legends และภาคต่อๆ ของมัน มาบัดนี้พวกเขาได้ก้าวออกมาจากขีดจำกัดของจำนวนฮีโร่ที่มีอยู่ไม่มากใน X-Men เข้ามาสู่อาณาจักรของ Marvel (ซึ่งมีตัวละครกว่า 140 ตัวที่มาปรากฏตัว) Ultimate Alliance มีฉากการต่อสู้ที่ดุเดือดกว่า เอฟเฟ็กต์ที่อลังการกว่า ระบบที่การเก็บไอเทมที่ใช้งานง่ายกว่า การต่อสู้กับบอสที่ใหญ่โตยิ่งกว่า และของปลดล็อคที่เจ๋งยิ่งกว่า (ตัวละครโบนัส และเสื้อผ้าที่มาพร้อมกับความสามารถพิเศษเฉพาะตัว)


เนื้อเรื่องก็เป็นวันล้างโลกแบบเดิมๆ คราวนี้ Dr. Doom ได้รวบรวมเอาเหล่า Masters of Evil (ซึ่งก็คือชมรมเหล่าร้ายระดับสุดยอดของ Marvel ซึ่งมีทั้ง Ultron, Rhino และ Bulleye) มาช่วยกันค้นหาพลังเพื่อจะนำมาทำลายจักรวาล Nick Fury แห่งหน่วย S.H.I.E.L.D. ก็รีบกดเบอร์ซุปเปอร์ทุกคนในมือถือเพื่อเรียกตัวมาช่วยกันขัดขวางแผนชั่วของ Dr. Doom คุณเริ่มต้นด้วยการสร้างทีมที่ประกอบด้วยฮีโร่สี่คน จะเป็นแบบสุ่มหรือเป็นแบบทีมที่มีอยู่แล้วก็ได้ (ถ้าเป็นแบบทีมที่มีอยู่แล้ว อาทิเช่น The Avenger หรือ The Fantastic Four ก็จะได้รับโบนัสพิเศษ) จากนั้นก็ร่วมกันใช้พลังซุปเปอร์เพาเวอร์ต่อกรกับศัตรูทั้งแบบบนบก (แทรกซึมเข้ารังของ The Mandarin) และอากาศ (ช่วย Namor the Sub-Mariner ใน Atlantis)


แคมเปญสำหรับเล่นคนเดียวก็เล่นได้นาน เสริมด้วยโหมดเล่นมัลติเพลเยอร์ที่จะช่วยกันเล่นก็ได้ จะเล่นแข่งกันก็ได้มาเสริมอีก แถมด้วยภารกิจที่เป็นจุดสำคัญๆ ในชีวิตของฮีโร่ซึ่งเป็นภารกิจโบนัสที่ปลดล็อคได้เข้าไปอีก ไม่ใช่ว่า Ultimate Alliance จะไม่มีจุดอ่อน บางครั้งมุมกล้องในเกมก็บดบังทำให้เห็นการต่อสู้ได้ไม่ชัด แต่จุดแข็งมันมีมากมาย มากเสียจนเรียกได้ว่าสุดยอดเลยก็ว่าได้



Marvel Superhero Squad Online : มาสวมบทเป็นฮีโร่ในดวงใจของคุณกันเถอะ!! PC online
สำหรับ Marvel ในไทยเราก็คงรู้จักกันดีจากการที่พวกเขานำเอาซุปเปอร์ฮีโร่หลายๆ ตัวมาสร้างเป็นภาพยนตร์ชั้นเยี่ยมให้เราได้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็น Spider Man หรือ Iron man และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง และมาถึงตอนนี้หลังจากเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่มักไปอยู่ในเกมส์แนวต่อสู้ก็ถูกฉีก แนวออกมาเป็นเกมส์ออนไลน์เต็มตัวแล้วในชื่อ Marvel Superhero Squad Online
ในการพัฒนาครั้งนี้ Marvel Superhero Squad Online เป็นผลงานของทีม Gazillion Entertainment ร่วมมือกับ The Amazing Society โดยการนำเอาตำนาน ของ Marvel บนโลกของการ์ตูน นิตยสาร และภาพยนตร์ ที่มีอายุความเป็นมามากกว่า 70 ปีและซึ่งมีฮีโร่มากหน้าหลายตา มาสร้างใหม่อีกครั้งจากเดิมที่เป็นเกมแนวต่อสู้หรือเครื่องคอนโซล สู่การเป็นเกมส์ MMO ให้เราได้เล่นกันแบบออนไลน์เต็มๆ กันแล้ว

รูปแบบของตัวเกมส์ Marvel Superhero Squad Online จะเปิดให้เราสามารถเลือกตัวละครที่เป็นฮีโร่ใน Marvel ออกมาใช้เล่นได้ โดยรูปแบบการเล่นน่าจะเป็นแบบมุมมองด้านข้างคล้ายกับเกมส์อย่าง Dragonica และยังพลิกรูปลักษณ์ของตัวละครให้กลายเป็นฮีโร่ตัวเล็กๆ ตามสไตล์การ์ตูนด้วย ทีมงานได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเอกลักษณ์และจุดเด่นของฮีโร่ภายในเกมส์มาก และพยายามแกะเอารายละเอียดต่างๆ ออกมาโดยต้องสร้างให้เกิดความสมดุลด้วย เพราะฮีโร่แต่ละตัวนั้นก็มีความสามารถแตกต่างกันมาก โครงสร้างและเนื้อหาของเกมส์ Marvel Superhero Squad Online จะใช้พื้นฐานง่ายๆ จากการถูกรุกรานด้วยเหล่าผู้ก่อการร้ายที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัย หุ่นยนตร์รบขนาดยักษ์ ซึ่งจุดหลักของเกมส์ก็คือเราก็เลือกฮีโร่ที่ชอบออกไปไล่ถล่มปราบพวกมันให้ เรียบเท่านั้นเอง แต่อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามกันต่อไปว่าระบบอื่นๆ ภายในเกมส์จะเป็นอย่างไรบ้าง
By.Lamperouge : ตัวเกมส์อยู่ในช่วงการพัฒนาและมีกำหนดในการเปิดให้บริการช่วงสิ้นปี นี้ถึง ประมาณต้นปีหน้า ผมคาดว่าคงฮิตมากในต่างประเทศที่คุ้นหน้าคุ้นตากับฮีโร่พวกนี้เป็นอย่างดี แต่ในไทยน้องๆ หลายคนคงไม่คุ้นหน้ากันเท่ากับพวกฮีโร่หน้ากากมาร์คไรเดอร์ทั้งหลาย ข้อดีคือมันไม่ใช่เกมส์เกาหลีหรือญี่ปุ่น ทำให้หากเปิดให้เล่น เกมเมอร์ไทยเราก็มีโกอาสเข้าไปแจมกับเขาได้
เว็บไซต์หลักของเกมส์ : http://www.shsonline.com

ความสามารถในเชิงวิทย์ของsuperhero แต่ละตัว(เท่าที่รู้) 5

Iceman

ไอซ์แมนเปลี่ยนร่างกายให้เป็นน้ำแข็งได้
ไอซ์แมนสามารถที่จะลดอุณภูมิบริเวณตัวเองให้เหลือน้อยอย่างฉับพลันทำให้เกิด การควบแน่นของไอน้ำ จากนั้นเขาก็ลดอุณภูมิลงให้เหลือน้อยถึง 0 องศา นั่นจะทำให้ไอน้ำรอบๆตัวของเขาเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง รวมถึงอวัยวะทุกส่วนของเขาด้วย หลักการเดียวกับตอนที่เขาทำน้ำในบ่อน้ำพุกลายเป็นน้ำแข็ง

Multiple men
มัลติเพิ่ล แมน สามารถโคลนร่างกายออกเป็นหลายๆคนได้
มี 2 กรณีคือ
1) เขาสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเกินกว่าที่ตามนุษย์จะเห็นและหยุดในตำแหน่งที่้ เขาจะให้ร่างโคลนปรากฏ ทำให้เกิดภาพลวงตา ซึ่งเป็นเขาหลายๆร่าง
2) มัลติเพิ่ลมีอำนวจในการสร้างภาพลวงตาที่เรียกว่า "มิราจ" (ผมยังไม่ค่อยมั่นใจเรื่องมิราจ ยังไม่กล้าอธิบาย)

ความสามารถในเชิงวิทย์ของsuperhero แต่ละตัว(เท่าที่รู้) 4

Shadowcat

ชาโดวแคท สามารถวิ่งทะลุกำแพงได้
นั่นก็คือ เธอสามารถแยกร่างกายให้กลายเป็นโมเลกุลเล็กๆ เพื่อที่จะทะลุผ่านวัตถุอื่นได้ ซึ่งคล้ายๆกับการที่สารทะลุผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ที่ยิ่งสารมีโมเลกุลเล็กเท่าไรก็จะเข้าสู้เซลล์ได้เร็วขึ้น
http://fc08.deviantart.com/fs15/f/2007/098/0/7/Colossus_Digital_Colors_by_Fexx_Neon.jpg
Colosus
เขาสามารถเปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นเหล็กที่ทนกระสุนได้ และยังสามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นอย่างเดิมได้
ร่างกายของโคลอสซัส อาจมีธาตุโลหะอยู่ภายใต้ผิวหนัง และเขาสามารถเปลี่ยนอุณหภูมิร่างกายให้เพิ่มขึ้นให้พอที่จะทำให้โลหะกลาย เป็นของเหลว และปล่อยออกมาตามรูขุมขน และลดอุณหภูมิพื้นผิวหนังให้ลดลงอย่างรวดเร็วทำให้เหล็กแข็งตัว และแข็งแกร่งมากขึ้น
http://i115.photobucket.com/albums/n293/maniacwc/EmmaFrost.jpg
Emma Frost
เอมม่า สามารถเปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นเพชรได้

โดยปกติแล้ว คาร์บอนคือธาตุหลักที่จะมีในร่างกายมนุษย์และทุกๆสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
และเพชรก็คือคาร์บอนที่มีโครงผลึกโมเลกุลของคาร์บอนเกาะกันหนาๆ
เอมม่าอาจสามารถที่จะเพิ่มจำนวนคาร์บอนในร่างกายและสามารถบีบอัดโครงผลึก คาร์บอนให้หนาขึ้นและทำปฏิกริยาเคมีทำให้เกิดเพชร

ความสามารถในเชิงวิทย์ของsuperhero แต่ละตัว(เท่าที่รู้) 3

The blob


the blob สามารถทำให้ร่างกายพองโตละกลับคืนสภาพเดิมได้(การ์ตูน) แต่ผิวหนังของเขาสามารถทนต่อ อาวุธทุกอย่างแม้แต่ กรงเลบ วูลฟเวอรีน
สามารถอธิบายได้ หลายๆกรณี คือร่างกายของ the blob ประกอบไปด้วยชั้นผิวหนังที่เปนโพลิเมอร์ คาร์บอนทิวบ์ คาร์บอนทิวบ์ คือ คาร์บอนที่มีโครงผลึกโมเลกุลเป็นท่อ ทำให้แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ ดี สว่านหัวเพชรก็แทบจะเจาะไม่เข้า
กรณีที่สอง คือ รอบร่างกายของ the blob เต็มไปด้วยสนามพลัง ที่เป็นคลื่น คล้ายๆElectron ที่วิ่งวนตลอดเวลา ทำให้เกิด สูญญากาศ และแรงกดดันมากๆ ดังนั้น วัดถุใดที่กระทบกับผิวหนังของ the blob จะถูกแรงกดดัน ผลักให้กระเด็นออกไป
http://www.comicbookmovie.com/images/users/uploads/13224/cannonball.jpg
CannonBall
แคนนอนบอลบินได้ และสามารถปล่อยพลังงานความร้อนทางเคมี ออกมาได้ ขณะบิน คล้ายๆปล่อย เทอร์โบ และก็สามารถหยุดได้อย่างกระทัน โดยไม่ต้องลดโมเมนตัม

สามารถอธิบาย ได้ว่า แคนนอนบอลสามารถควบคุมปฏิกิริยา เคมีรอบๆตัวและในร่างกายของเขาได้ โดยเฉพาะการจุดไฟ รอบๆตัว การที่เขาสามารถบินอาจเกิดจากการ ที่เขาสามารถต้านแรงโน้มโถ่งของโลกได้ และการที่สามารถหยุดตัวเอง โดยกระทันหัน ไม่สามารถเอากฏเกณฑ์ใดบนโลก อธิบายได้ แต่ว่าอาจจะเป็นหลักการของมนุษย์ต่างดาวที่สามารถอธิบายการต้านโมเมนตัม

ความสามารถในเชิงวิทย์ของsuperhero แต่ละตัว(เท่าที่รู้) 2

Changeling

เชนเจลลิ่ง สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ และ มีพลังจิตแบบอ่อนๆ ด้วย
http://goodcomics.comicbookresources.com/wp-content/uploads/2009/01/XMKNGBR003_COV.jpg
Polaris
ความสามารถ สร้างสนามแม่เหล็ก สร้างสนามพลังป้องกัน ควบคุมเหล็ก และบินได้
การที่เธอควบคุมเหล็กและสร้างสนามแม่เหล็กได้นั้นคือผลพลอยได้มาจาก พ่อของเธอ แมกนีโต้ ส่วนพลังเพิ่มเติมคือ การสร้างสนามพลังป้องกัน แบบ ซู สตอร์ม(Fantastic 4) คือการสร้างกลุ่มพลังงานมีมีประจุ อิเล็คตรอนจำนวนมาก ซึ่งทำหน้าทีป้องกันสิ่งต่างๆ ที่จะเข้าไปในสนามแม่เหล็ก
และ สุดท้ายความสามารถในการบิน คือ การใช้พลังจาก สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ที่จะช่วย พาร่างกายเธอที่มีธาตุแทรนซิสชั่นมากมาย ลอยขึั้นไปได้
http://media.comicvine.com/uploads/1/11768/644186-havok_super.jpg
Havok
ความสามารถคือ สร้างระเบิดพลาสมา และดูดกลื่นคลื่นรังสีคอสมิค
การสร้างระเบิดพลาสมา ซึ่งเป็นระเบิดที่มีพลังงานนิวเคลียร์ ฟริคชั่นย่อมๆ อาจเกิดจาก การสร้างธาตุกัมมันตรังสีขึ้นมาและเพิ่มอุณหภูมิ ทำให้เกิดเป็นลูกระเบิด ขนาดใหญ่ ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างได้มากมายเลย

ความสามารถในเชิงวิทย์ของsuperhero แต่ละตัว(เท่าที่รู้)

http://media.comicvine.com/uploads/0/77/79771-83018-kestrel_large.jpg
เคสเทรล สามารถเทเลพอร์ทได้และสามารถคงความอ่อนเยาว์ไว้(ไม่แก่)
มีหลายกรณีที่จะอธิบาย
กรณีแรกคล้ายๆกับ ไนท์คลอว์เลอร์ไม่ขออธิบายนะครับ เพราะได้อธิบายไว้แล้ว
กรณีสอง คือ การเดินทางระหว่างมิติที่ 4 หรือที่เรียกว่า มิติของเวลา
ซึ่งเป็นมิติที่มนุษย์ทุกคนสัมผัสแต่ไม่สามารถทำอะไรกับ มิตินี้ได้เลย เหมือน มิติที่ 1,2 และ 3
เคสเทรลอาจสามารถหยุดเวลาไว้ชั่วขณะแล้วเดินทางด้วยความเร็วไปยังจุดใดจุด หนึ่ง และเดินเวลาต่อ
http://media.comicmix.com/media/2008/10/09/gambit-5.jpg
Gambit
แกมบิทสามารถ อัดพลังงานจลน์ใส่วัตถุและใช้มันเป็นอาวุธซัดศัตรู
พลังงานจลน์คือพลังงาน ของการเคลื่อนของวัตถุ มีทั้งความเร็ว ความเร่ง และมวล
การอัดพลังงานจลน์เข้าสู่วัตถุ คือการ เพิ่มความเร็ว และ ความเร็ว ใส่วัตถุให้ กลายสภาพเป็นพลังงานศักย์(สะสมพลังงานไว้แล้วปล่อยออกมาภายหลัง) ทำให้วัตถุมีกำลังมาก และสามารถเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพหาก ความเร็วและความเร่งเป็น กราฟเฉียง อย่างต่อเนื่อง
Mimic

มิมิค สามารถก๊อบปี้พลังคนอื่นได้

เอาเป็นว่าง่ายๆเลย ตัวนี้มี โครโมโซม ที่พิเศษกว่าคนอื่นมากๆ ด้วยที่จะสาามารถลอกเลียนแบบ ความสามารถของตัวอื่น การลอกเลียน โดยโครโมโซม

พลิกแฟ้มมนุษย์กลายพันธ์2

http://images2.fanpop.com/images/photos/4200000/Magneto-marvel-comics-4206705-1280-879.jpg
Magneto
Magneto คือเหยื่อที่รอดชีวิตจากค่ายนรกนาซี Auschwitz สมัยเด็กพลังแม่เหล็กในตัวของเขายังไม่ได้รับการฝึกฝนพัฒนา ความที่เป็นชาวยิวทำให้เขากับครอบครัวเป็นเป้าหมายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเห็นครอบครัวถูกนาซีฆ่า และถูกนำตัวไปยังค่ายใช้แรงงานนาซีที่ Sonderkommandos บาดแผลที่ฝังลึกในหัวใจของ Magneto คือหากเขารู้ว่าตัวเองมีพลังเหนือธรรมชาติ เขาจะไม่ยอมให้เหตุร้ายเกิดกับครอบครัวอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม แม้จะมารู้ภายหลังว่าเขามีพลังแม่เหล็กในตัว แต่เพราะความอดอยากยากแค้นและการเจ็บป่วยในค่ายนรกทำให้ Magneto ไม่สามารถดึงพลังในตัวออกมาใช้

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาแต่งงานกับผู้หญิงยิปซีชื่อ Magda ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้รอดชีวิตจากค่ายนรก และมีลูกสาวด้วยกันชื่อ Anya เขาใช้พลังแม่เหล็กครั้งแรกเพื่อช่วยเมียกับตัวเองให้รอดพ้นจากไฟไหม้ แต่สมาธิแตกเสียก่อนเพราะเนื่องจากกลุ่มมนุษย์ที่บ้าคลั่งโกรธแค้นเข้ามาขัด จังหวะ ทำให้เขาไม่สามารถช่วยลูกสาวได้ ความโกรธแค้นทำให้เขาใช้พลังคร่าทำลายฝูงชนเหล่านั้น Magda ทิ้ง Magneto หลังขวัญผวาเมื่อเห็นอารมณ์ร้อนพลุ่งพล่านและพลังอำนาจมหาศาลของสามี

Magneto ใช้ชื่อปลอม Erik Lehnsherr เพื่อหลีกหนีการถูกตามล่า เขาหนีไปอยู่อิสราเอล และเป็นเพื่อนกับ Charles Xavier ทั้งคู่เก็บการเป็นมนุษย์ผ่าเหล่าของตนเองเงียบ และมีความคิดเห็นต่างกันในกรณีที่หากมีมนุษย์ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ความลับของทั้งคู่ถูกเปิดเผยในขณะที่พยายามสกัดกั้นอดีตนาซี Baron Wolfgang Von Strucker และสมุนไม่ให้ขนทองของนาซีที่แอบซ่อนไว้ไปเป็นของตัวเอง เพราะตระหนักว่าความคิดเห็นไม่มีทางบรรจบกับ Xavier ตัว Magnito ตัดสินใจหอบทองนาซีหนีหายไป

ในฉบับหนังโรงใหญ่ ความเกลียดชังมนุษย์ของ Magneto ทำให้เขาคิดสร้างเครื่องมือที่เปลี่ยนมนุษย์ปกติเป็นมนุษย์ผ่าเหล่า (X-Men) แต่ไม่สำเร็จ ต่อมาใน X2 Magneto วางแผนซ้อนกลมนุษย์หลอกใช้พลังจิตของ Xavier สังหารมนุษย์ทุกคนบนโลก แต่ใน The Last Stand เป็นการเผชิญหน้าครั้งสำคัญระหว่าง Magneto และศาสตราจารย์ Xavier
http://www.comicbookmovie.com/images/users/uploads/13224/Pyro_(St__John_Allerdyce).png
Pyro
Pyro หรือ St. John Allerdyce เกิดที่ Sydney ประเทศ Australia ความสามารถพิเศษคือสร้างไฟบรรลัยกัลป์จากร่างกาย แต่เพราะไม่รู้วิธีใช้ Pyro จึงปล่อยไฟของเขาเฉพาะในกรณีฉุกเฉินจำเป็นเท่านั้น เขาทำงานเป็นนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ ท่องเที่ยวทำข่าวหาข้อมูลไปตามประเทศต่างๆแถบเอเชียอาคเนย์ ได้พบกับ Mystique และได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมกลุ่ม The Brotherhood of Evil Mutants ของ Magneto

แต่ในหนัง X-Men เรื่องราวของ Pyro แตกต่างจากในหนังสือการ์ตูน เขาเป็นนักเรียนของศาสตราจารย์ Xavier ค่อนข้างทรนง และมักหาโอกาสโชว์พลังของตัวเองให้คนอื่นเห็น ซึ่งขัดกับนโยบายของ Xavier ใน X2 Pyro ตัดสินใจไปเขาฝ่าย Magneto ซึ่งมองเห็นความทะเยอทะยานของเด็กคนนี้ และใน X-Men:The Last Stand Pyro ต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิท Iceman
ร้อนกับเย็นเจอกัน น่าสนุก!

พลิกแฟ้มมนุษย์กลายพันธ์

http://michype.files.wordpress.com/2009/04/juggernaut1.jpg
Juggernaut
Juggernaut หรือ Cain Marko เป็นน้องต่างมารดาของศาสตราจารย์ Charles Xavier พ่อของ Cain ชื่อ Kurt Marko แต่งงานกับ Sharon แม่ของศาสตราจารย์ Xavier ต่อมา Kurt ทั้งครอบครัว ทำให้ Sharon โศกเศร้าและต้องอาศัยเหล้าเป็นที่พึ่งจนโรคพิษสุราเรื้อรังถามหา และตัว Cain กลายเป็นคนต่อต้านสังคม ความเป็นคนไร้ระเบียบวินัยทำให้ Cain ถูกส่งเข้าเรียนโรงเรียนทหาร ก่อนเข้าร่วมรบในสงครามเกาหลีกับพี่ชาย ทั้งคู่บังเอิญไปพบวิหารโบราณ Cyttorak ที่หายสาบสูญหลายศตวรรษ ภายในวิหาร Cain พบทับทิมสีเลือดก้อนมหึมา The Crimson Ruby of Cyttorak เพียงแค่สัมผัสทับทิมสีเลือด พลังมหาศาลที่ซ่อนอยู่ภายในถูกถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ Cain กลายสภาพเป็น Juggernaut เมื่อถ้ำซึ่งเป็นที่ซ่อนของวิหาร Cyttorak ถล่ม Charles หนีเอาตัวรอดออกมาได้ Cain โกรธแค้นพี่ชายที่ไม่ยอมช่วย หลังจากที่เขาพยายามขุดคุ้ยหินที่ถล่มจนสามารถออกจากถ้ำได้ Cain ประกาศตัวเป็นศัตรูของ Charles และตั้งใจจะสร้างความเจ็บปวดให้กับพี่ชายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได

แต่ใน X-Men: The Last Stand เรื่องราวของ Juggernaut ถูกดัดแปลง พลังของเขามาจากการกลายพันธุ์ Juggernaut เป็นคนสนิทที่ Magneto ไว้วางใจ และไม่มีความเกี่ยวพันทางครอบครัวกับศาสตราจารย์ Xavier

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ท็อกซิน

ทอกซิน (อังกฤษ: Toxin) หรือ แพทริก มัลลิแกน (อังกฤษ: Patrick Mulligan) เป็นตัวละครที่แต่งขึ้นของมาร์เวล เขาเป็นซูเปอร์ฮีโร่ตัวที่ 3 ของซิมเบี่ยนในซีรี่ยเรื่องสไปเดอร์แมน และปรากฏในหนังสือการ์ตูนเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับดาวเคราะห์ของซิมเบี่ยน

ไฟล์:Toxin.jpg

เรื่อง ราวและลักษณะเฉพาะ

ทอกซินจะคล้ายกับพ่อและปู่ของเขาผสมกัน (คาร์เนจเป็นพ่อ เวนอมเป็นปู่) คาร์เนจเกลียดลูกคนนี้มากเพราะกลัวว่าทอกซินจะแข็งแกร่งกว่าตน คาร์เนจรู้ตัวอยู่แล้วว่าอาจจะให้กำเนิดลูกออกมา จึงคิดจะฆ่าทันทีถ้าลูกเกิดมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถฆ่าทอกซินได้เพราะเวนอมคอยปกป้องหลานของตัวเอง หลังจากคลอดลูกออกมาแล้ว คาร์เนจก็หมดเรี่ยวแรงจากการคลอด เลยไม่สามารถฆ่าลูกที่เกิดมาได้ คาร์เนจจึงนำตัวอ่อนนี้ไปฝังกับแพทริก มัลลิแกน แล้วหนีไป โดยหวังว่าจะได้ฆ่าในคราวหน้า หลังจากที่เขาแข็งแรงดีแล้ว

แพทริก มัลลิแกน เป็นตำรวจแห่งเมืองนิวยอร์ก และเขาก็มีปัญหาต่างๆมากมายมารุมเร้าชีวิตของเขา เช่น งานที่แสนเครียดของเขา เป็นตันช่วงหนึ่งที่เขาออกปฏิบัติการ เขาก็ได้เจอกับคาร์เนจที่คลอดลูกอยู่ คาร์เนจต้องการซ่อนลูกให้ห่างจากเวนอม จึงฝังลูกไว้ที่แพทริก แต่ตอนนั้นทอกซินยังไม่แข็งแรงดีนัก จึงไม่สามารถออกมาเป็นรูปร่างของชุดได้ ด้านเวนอมเองก็หวังที่จะได้เจอหน้าหลานเร็วๆ เพื่อที่จะเอาหลานมาเป็นคู่หู และร่วมกันต่อสู้กับคาร์เนจ

ทางด้านแพทริกยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่นานไปเจ้าซิมเบี่ยนนี้ก็ได้กลายเป็นชุดของแพทริก เขาได้กลายเป็นทอกซินหลังจากที่คาร์เนจกลับมาทำร้ายครอบครัวของแพทริก แพทริกจึงได้ตระหนักถึงความอันตรายของเจ้าซิมเบี่ยนนี้ โดยเวนอมเองก็รู้ดีว่าทอกซินนับวันยิ่งแสดงความโหดร้ายออกมา เวนอมกับคาร์เนจ (ต้องการทำลายอยู่แล้ว) จึงพยายามทำลายเจ้าซิมเบี่ยนนี้หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ มันกลับทำให้ทอกซินแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

สไปเดอร์แมนจึงกลายมาเป็นคน ที่มาช่วยทอกซิน ทอกซินได้พูดคุยกับสไปเดอร์แมนแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่เกิดขึ้น กับเขา สไปเดอร์แมนได้กล่าวคำที่ลุงเบนเคยพูดกับเขาว่า "พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่มากับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง" ทอกซินได้พยายามบังคับตนเองให้เลิกทำความรุนแรงและทำลายสิ่งต่างๆ (ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก) แล้วเขาก็หนีออกจากการงานและครอบครัวของเขาไปสู่ชีวิตใหม่

ความ สามารถ

ทอกซินมีความสามารถคล้ายสไปเดอร์แมน คือ ไต่บนกำแพง พ่นใยไม่จำกัด (เป็นใยรูปแบบโซ่เหล็ก) อำพรางตัว แขนกลายเป็นอาวุธของแข็ง รักษาตัวได้อย่างรวดเร็ว ทอกซินไม่เหมือนกับซิมเบี่ยนอื่นๆตรงที่ ทอกซินไม่ได้ควบคุมจิตใจของเจ้าของร่าง ยามทอกซินกลายมาเป็นแพทริก เจ้าซิมเบี่ยนนี้จะสามารถพูดคุยกับแพทริกได้ เนื่องจากทอกซินเป็นลูกผสมระหว่างเวนอมกับคาร์เนจ ในตอนจบทอกซินก็แข็งแกร่งกว่าซิมเบี่ยนทั้งสองนี้

เวนอม

เวน อมตัวแรกไฟล์:Eddie Brock Venom.jpg

ในขณะที่ สไปเดอร์แมน กำลังต่อสู้บนดาวประหลาด (เนื้อเรื่องย่อยภาค Secret Wars) เขาต้องยอมเสียสละเครื่องยิงใยแมงมุมอาวุธหลักของเขาไปในการช่วยเหลือเพื่อน พ้องจากการโดนหินทับที่ Molecule Man ทุ่มใส่ ทำให้ สไปเดอร์แมน ต้องหาอาวุธใหม่มาทดแทน โดยได้ข่าวจากฮีโร่คนอื่นๆมาว่า มีเครื่องยนต์ประหลาดในห้องแลปทดลองใกล้ๆซึ่งสามารถซ่อมชุดของเขาได้ สไปเดอร์แมน จึงเริ่มตามหาเครื่องที่ว่านี้ แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้ไปเปิดผิดเครื่อง และปลดปล่อย“สสารเอเลี่ยนประหลาด” หลุดออกมาจากที่กักขัง

ด้วยความประมาทของสไปเดอร์แมน ทำให้สสารเอเลี่ยนนั้นครอบคลุมร่างกายของเขา ทำให้ชุดสไปเดอร์แมนกลายเป็นร่างใหม่สีดำ ซึ่งค้นพบภายหลังว่ามันตอบสนองต่อสมองของเขา ซึ่งสามารถพรางกายให้เป็นชุดคนธรรมดา และสามารถพ่นใยแมงมุมอาวุธหลักได้อย่างไม่จำกัด

พอกลับมาที่โลก สไปเดอร์แมนก็ได้ค้นพบความจริงที่น่าสะพรึงกลัวของชุดใหม่นี้ และพบว่า “มัน” ต้องการจะรวมร่างกับเขา โดยมันเข้าครอบงำร่างของเขาในเวลากลางคืน ในเวลาที่เขาหลับ ออกไปท่องราตรีต่อสู้กับเหล่าอธรรมอย่างโหดเหี้ยม ต่อมาด้วยความช่วยเหลือจาก มิสเตอร์แฟนแทสติก (1 ใน แฟนแทสติก โฟร์) สไปเดอร์แมนจึงแยก “มัน” ออกจากตัวเขาได้ด้วยคลื่นโซนิค ซึ่งสามารถทำร้ายมันได้ แต่มันก็แหกกรงขังออกจากกลุ่ม แฟนแทสติก โฟร์ ได้ในที่สุด มันติดตามและพยายามจะรวมร่างกับ สไปเดอร์แมน อีกครั้งในหอระฆังโบสถ์ ด้วยพลังต่อต้านจากตัว สไปเดอร์แมน และเสียงระฆัง ทำให้มันอ่อนแรงและหนีไป โดยทำท่าเหมือนจะตายแต่ก็หลบหนีไปได้

ในขณะนั้นเอง เอ็ดดี้ บร็อก นักข่าวตกงานผู้มีความแค้นกับสไปเดอร์แมน (เขาเคยเขียนข่าวว่าร้ายผิดคน แล้วสไปเดอร์แมนเปิดโปงคนร้ายตัวจริงได้ ทำให้ นสพ. นั้นกลายเป็นตัวตลก และเอ็ดดี้ก็โดนไล่ออก เย้ยหยันในกลุ่มเพื่อนฝูง ได้งานไร้ศักดิ์ศรีต้องเขียนข่าวนินทาดาราสไตล์ปาปารัซซี่ ทำให้เกิดความแค้นในตัวสไปเดอร์แมนเป็นอย่างมาก) เขาตัดสินใจจะฆ่าตัวตายประชดชีวิต และได้มาที่โบสถ์เพื่อขอโทษต่อพระเจ้าที่เขาไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีก

ด้วยความบังเอิญ “มัน” ซึ่งกำลังอ่อนแอ ได้เจอกับ เอ็ดดี้ บร็อก และจู่โจมครอบงำร่างในที่สุด เนื่องจากว่า “มัน” ได้เคยรวมร่างกับ สไปเดอร์แมน มาก่อน ทำให้ความทรงจำยังคงติดค้าง และตอนนี้ เอ็ดดี้ บร็อก ก็ได้รู้จัก “ตัวจริงของสไปเดอร์แมน” ซึ่งทำให้เพลิงแค้นในใจของเอ็ดดี้ ได้เบนเข็มมาใส่ทั้ง ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ และ สไปเดอร์แมน และกลายเป็นศัตรูตัวสำคัญของสไปเดอร์แมนไปในที่สุด

เนื้อเรื่องได้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยมาร์เวล เพื่อจะเสริมเรื่องราวของตัวละครให้กับ เวนอม มากขึ้น โดยเอ็ดดี้นั้นเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย และจะตายใน 3 เดือน ซึ่งทำให้เขาตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย (เปลี่ยนจากเนื้อเรื่องเก่าที่โดนไล่ออก กับถูกกดขี่ข่มเหงจากทุกคน)

“มัน” โดยแท้จริงนั้นตกหลุมรักกับ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ในการ์ตูนสไปเดอร์แมน เล่มที่ 371 สไปเดอร์แมนได้ปราบ “มัน” ด้วยการถอดชุดสไปเดอร์แมนออก แล้วเสนอร่างให้ครอบงำ แต่อีกทางนึง ตัวเอ็ดดี้ บร็อก กลับคิดว่า “มัน” ก็เกลียดชังในตัวสไปเดอร์แมนพอๆกับเขา เมื่อยามที่ทั้งสองปะทะกัน “มัน” ได้พยายามอย่างมากที่จะแยกร่างออกจากเอ็ดดี้ เพื่อจะกลับไปรวมร่างกับสไปเดอร์แมนอีกครั้ง

แต่ทว่าการแยกร่างหลัง จากการรวมตัวที่สมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องที่ “ทรมาน” มาก ตัวของ เอ็ดดี้ บร็อก นั้นถึงกับช็อคจนสลบ ซึ่งเนื้อเรื่องต่อมา ผู้เขียนตัดสินใจให้ “มัน” สามารถเคลื่อนย้ายร่างตนได้อย่างอิสระ โดยนิสัยของ “มัน” ก็ได้ถูกเปลี่ยนไปด้วยครับ โดยตอนแรกมันรวมร่างกับเอ็ดดี้เพราะความเกลียดชังในตัวสไปเดอร์แมน แต่ในเนื้อเรื่องใหม่ ระบุให้มันกินสาร “อะดรีนาลีน”ในร่างกาย มนุษย์เป็นอาหาร ซึ่งระหว่างครอบงำร่างของเอ็ดดี้นั้นเอง “มัน” ก็ผลิตสารขึ้นมาทำลายโรคมะเร็งจนสิ้น

นอกเหนือจากพลังเหนือมนุษย์อันมหาศาลของ เวนอม และความเกลียดชังที่มีต่อสไปเดอร์แมน เวนอมเองก็พยายามที่จะไม่ทำร้ายผู้ “บริสุทธิ์” ซึ่งเขามักจะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะฆ่าผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง (ส่วนมากก็คือพวกไทยมุงนั่นเอง) แต่เพราะความ “บ้าคลั่ง” ของมัน ทำให้คำจำกัดความของ “ผู้บริสุทธิ์” บางทีก็ถูกมองข้ามในบางครั้ง

บางครั้ง เวนอม เองก็ผนวกกำลังร่วมต่อสู้กับ สไปเดอร์แมน โดยส่วนมากก็เพื่อต่อกรกับร่างแยกของ “มัน” เอง นั่นก็คือศัตรูที่ร้ายยิ่งกว่า บ้ายิ่งกว่าโหดเหี้ยมยิ่งกว่า มันคือ CARNAGE ซึ่งในเนื้อเรื่องย่อย เวนอม ได้ร่วมต่อสู้กับพวกแอนตี้ฮีโร่ (ฮีโร่ที่ทำตัวไม่เหมือนฮีโร่) เช่นพวก เดอะ พันนิชเชอร์ (The Punisher) หรือ โกสต์ ไรเดอร์ (Ghost Rider)

ในเวลาต่อมา เวนอม ได้ถูกจับกุมและขึ้นศาลและควบคุม “มัน” ไม่ให้หลบหนี แต่ก็หลบหนีออกมาด้วยความช่วยเหลือของกลุ่มรัฐบาลมืด Black-Ops ซึ่งคณะกรรมการ the Overreach Committee มอบหมายให้ เวนอม ทำงานให้พวกมัน แกมบังคับด้วยการฝังระเบิดไว้ในหน้าอก

หลังจากการต่อสู้ในหน้าที่หลายครั้ง ครั้งหนึ่งมีคำสั่งให้ไปขู่ขวัญ เจ โจนาห์ เจมส์สัน แต่เวนอมกลับทำงานผิดพลาด เพราะเข้าใจผิดว่าให้ฆ่าเจ โจนาห์ เจมส์สัน เนื่องจากพวกสายลับสื่อสารแบบกำกวม และไปฆ่า J. Jonah Jameson เขาเหวี่ยงโจนาห์ตกตึกลงมา แต่ Spiderman ช่วยไว้ได้ เวนอมจึงต่อสู้กับ สไปเดอร์แมน อีกครั้ง (การต่อสู้ครั้งนี้ สำนักพิมพ์บงกชได้ลิขสิทธิ์แปลไทยในชื่อ Spiderman ภาคใหม่ และพิมพ์อยู่ในเล่ม 8 ของเรื่องนี้ หาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป) การต่อสู้นี้เกิดขึ้นในเขตก่อสร้างซึ่งสุดท้ายระเบิดติดไฟจำนวนมากบริเวณ นั้นก็เกิดระเบิดขึ้น ทำให้เอ็ดดี้ บร็อก สูญเสียความทรงจำ เวนอมจึงตัวจริงของสไปเดอร์แมนไปด้วย หลังจากนั้น เวนอม ก็ได้ผ่าตัดตัวเองและเอาระเบิดที่ฝังในหน้าอกออก แต่ในขณะที่เขากำลังจะเปิดโปงความชั่วร้ายของกลุ่มรัฐบาลมืดนั้นเอง สารเคมีในร่างกายของเขาก็ประทุ ทำให้เอ็ดดี้และ “มัน” แยกตัวออกจากกันและ “มัน” ก็เหมือนจะ “ตาย” อีกครั้ง

ด้วยความประมาท “มัน” ได้ฟื้นสภาพและออกตามหาตัว เอ็ดดี้ บร็อก เพื่อกลายร่างเป็น เวนอม อีกครั้ง มันได้รวมร่างกับตัวอ่อนของ Cletus Kassady (ซึ่งก็คืออดีต CARNAGE) และเข้าร่วมกับกลุ่ม Sinister Six (ขบวนการวายร้ายที่มีความแค้นต่อสไปเดอร์แมน) แต่ก็ได้สำนึกตนและพยายามฆ่าคนในทีม เวนอม ต่อสู้กับ แซนด์แมน และ อิเล็คโทร และทิ้งไว้ให้ตาย ซึ่งในตอนนั้นเอง เวนอม ก็ได้จับมือญาติดีกับ สไปเดอร์แมน อีกครั้ง แต่ความแค้นก็ยังไม่จบสิ้น ถาโถมขึ้นมาใหม่เมื่อภรรยาของ เอ็ดดี้ บร็อก ฆ่าตัวตาย (ที่แท้จริงแล้วก็เพราะ เอ็ดดี้ แปลงร่างเป็น เวนอม กระโดดไล่ตาม สไปเดอร์แมน ต่อหน้าต่อหน้าต่อตา เธอเลยช็อคกระโดดตึกตาย)

แต่การล้างแค้นก็ไม่ได้ชำระจนได้ เมื่อบุรุษผู้มีพลังลูกครึ่งของมนุษย์/เอเลี่ยน นามว่า “Senator Ward” ได้แยก เอ็ดดี้ บร็อก กับ “มัน” ออกจากกันอีกครั้ง

ร่างโคลนของตัวอ่อน เวนอม ก็ปรากฏกายขึ้น (ซึ่งสร้างขึ้นมาจากการเก็บชิ้นส่วนตัวอ่อน โดยกลุ่มรัฐบาลในการต่อสู้ครั้งก่อนๆ) ซึ่งโคลนนี้สร้างขึ้นโดยกลุ่มเอเลี่ยนที่ทำงานปะปนแอบแฝงอยู่ในรัฐบาล ตัวอ่อนโคลนใหม่นี้แตกต่างกว่าตัวดั้งเดิม โดยมันจะเผาร่างของร่างต้น ฆ่าร่างต้น เนื้อเรื่องตอนนี้เกี่ยวพันกับ วูล์ฟเวอรีน ของ เอกซ์เมน ด้วย เพราะเขาก็โดนมันครอบงำเหมือนกันในช่วงนึง แต่ด้วยพลังรักษาตัวขั้นสุดยอด ทำให้เขารอดมาได้ และก็มีการถือกำเนิด She-เวนอมร่างหญิง นักวิทยาศาสตร์ชื่อ แพทริเซีย โรเบิร์ตสัน แต่รอดมาได้เหมือนกันด้วยพลังแห่ง เอ็ดดี้ บร็อก ก็ได้ผนวกกับภาคโคลนของ เวนอม และมีพลังมากขึ้นจากการเจียระไนของพวกเอเลี่ยน แต่ก็ต้องยอมรวมร่างโดยสมบูรณ์กับ “มัน” อีกครั้งเพราะมันจะช่วยไม่ให้เค้าตายจาก “มะเร็ง”... สไปเดอร์แมนเองก็เกลี้ยกล่อมให้ตัวอ่อนนั้นยอมรวมร่างโดยสมบูรณ์กับเอ็ดดี้ เช่นกัน

เวน อมตัวที่สองไฟล์:SpidermanVSVenom.jpg

หลังจากนั้น เอ็ดดี้ บร็อก เห็นสัจธรรมจากการศึกษาพระธรรม และขายตัวอ่อน เวนอม ให้กับเจ้าพ่อมาเฟีย ดอน ฟอร์ทูนาโต ไปในราคา 100 ล้านเหรียญ ซึ่งจะมอบเงินทั้งหมดให้กับการกุศล ก่อนที่เขาจะจากไปด้วยโรคมะเร็ง

ต่อมา แองเจโล ฟอร์ทูนาโต ลูกชายของดอน ได้กลายเป็น เวนอม ตัวที่สอง แต่ก็ไม่นานนัก ในความเป็นจริง ร่างโคลนนี้กับร่างต้นก็ไม่ถือว่าเป็น เวนอม เพราะเป็นร่างโคลน) ที่ แองเจโล เป็นได้ไม่นานก็เพราะความ “โง่เขลาเบาปัญญาเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ" ของเขา ทำให้ “มัน” ทิ้งร่างต้นระหว่างการกระโดด และทำให้ แองเจโล ตกลงมาตายอนาจ ซึ่งในขณะนั้น เอ็ดดี้ บร็อก ได้ยินข่าวการตายของ แองเจโล ซึ่งเกิดมาจากการแยกร่างออกของตัวอ่อน เอ็ดดี้ บร็อก ตัดสินใจเชือดข้อมือตนเอง แต่ก็ถูกช่วยไว้ได้ และส่งไปโรงพยาบาล... และตัวอ่อน เวนอม ก็กำลัง “คิดถึงบ้านเก่า”

เวน อมตัวที่สาม

หลังจากการตายของแองเจโล ตัวอ่อนได้รวมร่างกับ Mac Gragan ซึ่งก็คือวายร้าย เดอะ สกอร์เปี้ยน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการอุบาทว์ Sinister Twelve แต่ก็ถูกปราบลงได้ด้วยพลังของสไปเดอร์แมน ดิ อเวนเจอร์ส (The Avengers) รวม

เวน อมในสื่ออื่นไฟล์:ScorpionVenom.jpg

ในเนื้อเรื่องของหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ การที่ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ รวมตัวเข้ากับสารซิมไบโอตไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งด้านจิตใจและร่างกายนอกเหนือไปจากการที่ทำให้ปีเตอร์ออกไปโหนไยทั้งๆ ที่หลับอยู่จนอ่อนเพลียเวลาตื่นเท่านั้น แต่ในภาพยนตร์การ์ตูนชุดฉบับที่ออกฉายในทศวรรษ 1990 ได้มีการแต่งเนื้อเรื่องให้การรวมตัวเข้ากับสารซิมไบโอตทำให้ปีเตอร์มีพลัง มากขึ้นและดึงเอาด้านมืดในตัวของเขาออกมาจนนำไปสู่ความพยายามในการแยกตัวออก จากสารซิมไบโอตในที่สุด ซึ่งแนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ซ้ำหลายครั้งในเนื้อเรื่องฉบับอื่นๆ หลังจากนั้น เช่นในเนื้อเรื่องชุดอัลติเมตมาร์เวล และมาร์เวล มังกะเวิร์ส รวมไปถึงภาพยนตร์สไปเดอร์แมน 3 อีกด้วย

ภาพยนตร์

เวน อมมีบทบาทในภาพยนตร์ลำดับที่สามของ ภาพยนตร์ชุดสไปเดอร์แมน โดยในเนื้อเรื่องของภาพยนตร์นี้ สารซิมไบโอตมีผลต่อบุคคลต่างๆ ในเรื่องในลักษณะที่แตกต่างไปจากหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ คือไม่มีการแสดงชัดเจนว่าสารซิมไบโอตมีความรู้สึกนึกคิดแต่อย่างใด เพียงแค่เพิ่มความก้าวร้าวของบุคคลที่สิงสู่เท่านั้น ไม่ได้ควบคุม ผู้ที่ถูกสารซิมไบโอตเกาะกินในฉบับภาพยนตร์คือเอ็ดดี้ บร็อก จูเนียร์ (รับบทโดยโทเฟอร์ เกรซ) ซึ่งถูกปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ช่วงชิงหัวใจของเกวน สเตซี่ไป และแฉต่อหนังสือพิมพ์เดลี่บูเกิ้ลว่าเขาแต่งรูปที่นำมาขายทำข่าว จนมีความเกลียดชังปีเตอร์อย่างมาก เมื่อปีเตอร์ฉีกทำลายชุดดำซิมไบโอต สารซิมไบโอตก็ได้เข้าเกาะกินเอ็ดดี้แทน และเพิ่มพูนความเกลียดชังของเขาจนกลายเป็นเวนอมในที่สุด

ผู้กำกับภาพยนตร์ แซม ไรมี่ ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์บางอย่างของเวนอม เช่น เปลี่ยนสัญลักษณ์รูปแมงมุมบนหน้าอกจากสีขาวเป็นสีเทาเข้มเพื่อแสดงถึงความ มืดของสารซิมไบโอตและออกแบบให้มีลายใยแมงมุมบนตัวอย่างไม่เป็นระเบียบ นอกจากนั้นยังไม่มีมัดกล้ามเนื้อขนาดใหญ่เหมือนในหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ อย่างไรก็ดี ใบหน้าของเวนอมยังคงมีลักษณะใกล้เคียงกับต้นแบบ (รวมไปถึงปากที่กว้างกว่าคนปกติอย่างมากด้วย) และยังคงไม่สามารถถูกตรวจจับได้โดยสไปเดอร์เซนส์ของปีเตอร์จึงสามารถโจมตีปี เตอร์ได้โดยเจ้าตัวไม่ทันรู้สึกเช่นกัน รวมทั้งมีพละกำลังเหนือกว่าปีเตอร์อย่างมาก

คาร์เนจ

ประวัติ ตามท้องเรื่องhttp://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/3/31/Carnage05.jpg

Carnage ในอดีตเคยเป็นฆาตกรโรคจิตไล่ฆ่าผู้คนไปทั่วนามว่า Cletus Kasady และกลายเป็นสุดยอดอาวุธโรคจิตเดินได้ หลังจากได้รับ “ตัวอ่อน” ที่แบ่งตัวออกมาจาก Venom ( ศัตรูตัวร้ายของ Spiderman ชื่อจริงคือ Eddie Brock ได้รับพลังและกลายร่างเป็น Venom จากสสารประหลาดต่างดาว)

เรื่องเกิดตอนที่ Eddie Brock โดนขังคุกอยู่ และ ตัวอ่อน Venom บุกเข้าไปรวมร่างเพื่อแหกคุก ในระหว่างการแหกคุกนั้นเอง Venom ได้ “คลอด” ตัวอ่อนออกมา และมันก็ได้พบกับร่างต้นที่มีจิตใจแรงกล้าในทางลบ ฆาตกรโรคจิต Cletus Kasady นั่นเอง

เนื้อ เรื่องช่วงต้นไฟล์:Spider Venom Carnage.jpg

เนื้อเรื่องตอนต้นนั้น Carnage เป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายโดยแท้ มันคือตัวละครโหดตัวใหม่ ผู้ร้ายตัวใหม่ที่ทาง Marvel ออกแบบมาเพื่อทดแทน Venom ซึ่งตอนนั้นกำลังเริ่มเบนมาทางฝ่ายฮีโร่ (Venom เริ่มร่วมมือกับพวกฮีโร่ เริ่มร่วมมือกับ Spiderman - กลายเป็น Anti-Hero)

อดีตของ Kasady นั้นไม่ชัดเจน Kasady เล่าว่าเขาได้ฆ่าพ่อของตัวเอง ซึ่งเป็นคนฆ่าแม่ของเขา ในขณะที่แม่เขากำลังพยายามฆ่าก่อน แต่ขณะที่เขาเล่า เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าเรื่องราวเรียงลำดับยังไง(อย่างไรก็ตาม Kasady ก็มีจิตใจคิดถึงแม่ของเขา ในการ์ตูนภาค Maximum Carnage เขาได้ขุดศพของแม่ตัวเองขึ้นมา – เขายังเล่าเรื่องที่เขาเป็นคนฆ่ายายของตัวเองในวัยเด็กอีกด้วย โดยเขาผลักยายบินถลาตกบันได Kasady ในวัยเด็กยังทรมาณสัตว์อีกด้วย รวมไปถึงหมาของตัวเอง อาการที่เขาชอบแต่งเรื่องในอดีตขึ้นมา รวมถึงบุคลิกที่ระห่ำนี้ทำให้แฟนๆเปรียบเทียบเขากับตัวละครของ DC COMICS พ่อ JOKER ศัตรูของ Batman

ในภายหลัง Kasady ได้รวมร่างแยกร่างไปมากับ “ตัวอ่อน” หลายครั้ง เนื่องจากตัวอ่อน Carnage นั้นโหยหาพลังที่แข็งแกร่ง หากพบว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้ามีพลังที่กล้าแกร่งกว่าร่างต้นคนปัจจุบัน มันก็จะย้ายร่างทันที

ซึ่งมันเคยพยายามจะรวมร่างกับ “ร่างโคลน”ของ Spiderman นามว่า Ben Reilly อีกด้วย – ซึ่งในตอนนั้นเกิดเหตุการณ์สับสนว่า “ใครคือ Spiderman ตัวจริงเกิดขึ้น Ben Reilly ซึ่งคิดว่าตนเองก็ตัวจริง จึงท่องไปมาในชุด Spiderman – ซึ่งเมื่อได้รวมร่างกลายเป็น Spider-Carnage – (ที่โดนรวมร่างง่ายดายเพราะ Ben ไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้กับพวก “ตัวอ่อน” มาเหมือน Peter Parker ลางสังหรณ์ของ Spiderman จะไม่มีผลต่อพลังของพวกตัวอ่อน - หลังจากที่รวมร่างกลายเป็น Spider-Carnage แล้ว ตัวอ่อนก็สั่งให้ Ben ไปฆ่า Peter Parker ซึ่งตอนนั้นไร้พลังอยู่ – สุดท้ายก็หยุดยั้งไว้ได้ด้วยพลังแห่งวิทยาศาสตร์ของสถาบัน Ravencroft ซึ่งกักขัง Cletus Kasady เอาไว้) หลังจากนั้นก็พยายามรวมร่างกับ Silver Surfer นักผจญภัยแห่งอวกาศบนกระดานโต้คลื่นสีเงิน

เวน อม vs คาร์เนจไฟล์:Ven-carn.jpg

Venom กับ Carnage ปะทะกันหลังจากที่ Carnage คลอดลูกออกมา นามว่า “TOXIN” ซึ่งรวมร่างกับตำรวจสุดห้าวชื่อ Patrick Mulligan --- ที่ต้องซัดกันเพราะว่า Carnage จงเกลียดจงชังลูกตัวเองมาก ระหว่างที่จะแบ่งร่าง Carnage ก็พยายามฆ่าตัวอ่อนซะ แต่ก็ไม่สำเร็จ ทั้งนี้เพราะ Carnage กลัวว่าตัวอ่อนใหม่จะแข็งแกร่งกว่าตน

ในทางกลับกัน Venom กลับรู้สึกรักใคร่ “หลาน” ของตัวเองนี้อย่างมาก รักจนต้องปกป้อง (และ Venom เป็นคนตั้งชื่อให้กับ Toxin ด้วย) ส่วนร่างต้นของ Toxin นายตำรวจผู้เคร่งเครียดก็พยายามฝืนความชั่วร้ายของตัวอ่อน และฝักใฝ่ที่จะผดุงคุณธรรม และกลายเป็น Anti-Hero ไปอีกคน (เพราะแบบนี้ด้วย ทำให้ Carnage ยิ่งจงเกลียดจงชัง Toxin เอามากๆ)

หลังจากนั้น Venom ได้เอาชนะและดูดเอาตัวอ่อน Carnage เข้าร่างประสานพลังปิดผนึกมันไว้ตลอดกาล – เมื่อ Kasady ขาดพลังของ Carnage ไปแล้ว ไอ้โรคจิตมันก็ยังไม่ยอมเลิกรา แต่งชุดแดงไล่ฆ่าผู้คนไปเรื่องเปื่อย (แต่ตอนนี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น) แต่ความชั่วร้ายก็ยังไม่ยอมจบสิ้น Kasady ได้พบกับ “ตัวอ่อน” ที่มีพลังเหมือน Carnage ในดินแดน Negative Zone (ดินแดนที่เหมือนโลกขนานต่างมิติ) แต่เพราะเหตุใด “ตัวอ่อน” นี้ถึงมีพลังคล้ายคลึงกับ Carnage - มันมาจากไหน – ทาง Marvel ยังเก็บไว้เป็นปริศนา

หมาย เหตุ

เนื่องจากว่า Marvel มีซีรีส์มากมาย และบางครั้งตัวละครก็ซ้ำกัน เนื้อเรื่องทับไปทับมาอยู่บนโลก Marvel Universe เดียวกัน จึงมีเรื่องของ “การตายของ Carnage” อยู่ด้วย – ส่วนมันเกิดขึ้นตอนไหน อย่างไร คาดเดาว่าน่าจะหลังจากที่ Kasady ได้ค้นพบตัวอ่อนใหม่แล้ว ซึ่งนักวิจารณ์บางคนก็ว่า ตัวที่สู้กับ Venom และให้กำเนิด Toxin เป็นตัวอ่อนดั้งเดิมแน่นอน ทำให้เรื่องงงๆ ยังไงก็อย่าไปซีเรียสนะครับ เอาความสนุกสนานเป็นหลัก เน้นเนื้อเรื่องกลาง เพราะมันมีหลายเวอร์ชันมากๆ

เหตุการณ์ อื่นๆ

ณ คุกที่จองจำเหล่าวายร้าย (พวก Supervillains ซุปเปอร์วายร้ายที่ถูกจับได้) Carnage ก็ถูกจองจำอยู่ในนั้นด้วย ในขณะที่เกิดการแหกคุกครั้งใหญ่ Carnage ได้ออกมาทำร้ายซุปเปอร์ฮีโร่ที่พยายามควบคุมสถานการณ์ และก็ถูกสุดยอดฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ Marvel นามว่า the Sentry (ลักษณะเหมือนซุปเปอร์แมนของค่าย Marvel มีพลังมหาศาลเทียบเท่าแรงระเบิดของดวงอาทิตย์ 1 ล้านดวง) เรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่คนนี้ช่างอาภัพนัก เนื่องจากเขาเป็นคนมีสองบุคลิก อีกบุคลิกหนึ่งของเขาก็คือ the Void ซึ่งเป็นเทพเจ้ามารร้ายที่มีพลังร้ายกาจเกินจินตนาการ ทำให้เขาต้องลบความทรงจำของทุกคนบนโลก รวมถึงตัวเค้าเอง เพื่อสะกดให้มารร้ายในตัวเขาสงบลง

ซึ่งในระหว่างที่เกิดเหตุแหกคุกอยู่นั้น the Sentry (ตัวจริงคือ Reynolds ซึ่งได้ยอมถูกกุมขังฐานฆาตกรรมภรรยาของตัวเอง) ได้กระชาก Carnage ออกมา พาออกไปนอกโลก แล้วกระชากร่างออกเป็นสองท่อน

แต่มีหรือที่ Marvel จะยอมเสียสุดยอดตัวร้ายประหนึ่งเทพเจ้าแห่งความบ้าคลั่งตนนี้ นักวิจารณ์ถกเถียงกันว่า ในตอนที่พ่อ Carnage ถูกกระชากออกเป็นสองส่วนในอวกาศนั้นเป็นเพียง “ตัวอ่อนในสภาพ Carnge ปราศจากร่างต้น Kasady” ดังนั้น Carnage จะกลับมาอย่างแน่นอน

ไอ้แมงมุม/สไปเดอร์แมน ต่อ

ชีวประวัติปีเตอร์ ปาร์คเกอร์/ไอ้แมงมุม

ใน ครั้งที่ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูน ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เป็นเพียงวัยรุ่นเด็กเรียนคนหนึ่งจากฟอเรสท์ฮิลส์ (Forest Hills) นครนิวยอร์ก ที่ต่อมาถูกแมงมุมอาบกัมมันตภาพรังสีกัดในระหว่างที่เขากำลังศึกษาการทดลอง ทางวิทยาศาสตร์อยู่ เขาได้รับพลังพิเศษต่าง ๆ จากแมงมุมตัวนั้น และหลังจากนั้น เขาก็พยายามที่จะเป็นดาราโทรทัศน์ด้วยการไปสมัครเป็นนักมวยปล้ำ แต่แล้ววันหนึ่ง ก็ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อเขาได้พลาดการหยุดยั้งอาชญากรคนหนึ่งเอาไว้ทั้งที่มีโอกาส จนเป็นเหตุให้อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา อาชญากรคนเดียวกันนั้นได้ทำร้ายลุงเบน (Uncle Ben) ซึ่งเป็นผู้ที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็กจนเสียชีวิต หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ปาร์คเกอร์ก็ได้เรียนรู้ว่า พลังอันยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับมานั้น มันจะต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ด้วย เขาจึงกลายมาเป็นไอ้แมงมุมหรือสไปเดอร์แมนและใช้พลังพิเศษที่เขามีทำหน้าที่ ปกป้องความสงบสุขของประชาชนในที่สุด[22]

หลังจากลุงของเขาถึงแก่กรรม ไป ปาร์คเกอร์และป้าเมย์ (Aunt May) ผู้ที่เขาอาศัยด้วยและเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็กอีกคนหนึ่ง ก็เริ่มขัดสนด้านเงินทองมากขึ้น เขาจึงต้องไปทำงานเป็นช่างถ่ายภาพให้กับสำนักหนังสือพิมพ์เดลีบูเกิล (Daily Bugle) และขายภาพให้กับเจ. โจนาห์ เจมสัน (J. Jonah Jameson) ผู้ที่ชอบนำเอาความรู้สึกส่วนตัวใส่ลงในหัวข่าวหนังสือพิมพ์เสมอ[23]

หลัง จากที่เขาได้ต่อสู้กับศัตรูของเขาครั้งแรก ปาร์คเกอร์ได้พบว่าการดำเนินชีวิตระหว่างชีวิตส่วนตัวกับชีวิตภายใต้ชุด แมงมุมนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบาก จนบางครั้งเขาก็พยายามจะเลิกสิ่งที่เขาทำ[24][25]

ทางด้านศัตรูของ เขานั้น ก็มักจะเข้าทำร้ายคนรอบกายที่เขารักอยู่เสมอ โดยครั้งที่สำคัญที่สุดก็คือ ครั้งที่กรีนกอบลินได้ฆาตกรรมเกว็น สแตซี (Gwen Stacy) คนรักคนแรกของเขา แต่ถึงแม้ว่าความตายของเธอจะคอยหลอกหลอนเขาตลอดเวลา ในเวลาต่อมาปาร์คเกอร์ก็ได้เข้าพิธีวิวาห์กับแมรี เจน วัตสัน (Marry Jane Watson) โดยเนื้อเรื่องต่อจากนั้น ก็มีการเปิดเผยให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของเขาในฐานะของบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง และปัญหามากมายที่เขาต้องประสบ มากขึ้น

พลังพิเศษและอุปกรณ์ต่าง ๆ

พลัง พิเศษ

ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ถูกแมงมุมกัมมันตภาพรังสีกัด ทำให้เขาได้รับพลังพิเศษหลังจากที่ถูกแมงมุมกัมมันตภาพรังสีกัดในระหว่างที่ เขากำลังศึกษาการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ในชั้นเรียนอยู่นั้น ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ก็ได้พบกับสิ่งแปลกใหม่บางอย่างที่เข้ามาในร่างกายของเขา นั่นก็คือพลังพิเศษที่เขาได้รับจากแมงมุมตัวนั้นนั่นเอง

ในเนื้อ เรื่องดั้งเดิมของสแตน ลี และสตีฟ ดิตโก นั้น ไอ้แมงมุมมีความสามารถในการเกาะไต่กำแพงได้ มีความแข็งแกร่งที่เหนือวิสัยมนุษย์พึงมี มีสัมผัสที่ 6 ที่เรียกว่า “สัมผัสแมงมุม” (spider-sense) ที่คอยเตือนเขาถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา มีความสมดุลของร่างกายที่ดีเยี่ยม และมีความเร็วกับความคล่องตัวเกินมนุษย์ทั่วไป เมื่อมาถึงเนื้อเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2548 และ พ.ศ. 2549 ความสามารถของไอ้แมงมุมก็ยิ่งมีความใกล้เคียงกับแมงมุมจริง ๆ มากขึ้น นั่นคือเขาสามารถพ่นใยแมงมุมจริงออกมาจากมือได้ มีเหล็กในพิษที่งอกมาจากแขน มีความสามารถที่จะติดยึดสิ่งของต่าง ๆ กับหลังของเขาได้ สามารถควบคุมสัมผัสแมงมุมเพื่อใช้ในการสืบค้นร่องรอยต่าง ๆ ได้ สามารถมองเห็นในที่อับแสงได้ และยังมีความแข็งแกร่งกับความเร็วที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

นอก จากพลังพิเศษที่เขาได้รับแล้ว ร่างกายในระดับองค์รวมและอวัยวะภายในของเขา ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบของกระดูก เนื้อเยื่อที่ยึดกระดูกเข้าหากัน และระบบประสาทต่าง ๆ ก็ยังมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนั้น กล้ามเนื้อของเขาก็ยังพัฒนาเพิ่มขึ้นไปอีกด้วย

อุปกรณ์เสริม
ปี เตอร์ ปาร์คเกอร์ เป็นตัวการ์ตูนที่มีพรสวรรดิ์และเป็นอัจฉริยะในการประยุกต์ใช้ความรู้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ เคมี หรือฟิสิกส์ เพื่อเสริมให้พลังของเขาแข็งแกร่งขึ้น[26] ซึ่งนอกเหนือจากพลังพิเศษแล้ว เขายังได้สร้างอุปกรณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อใช้ควบคู่กับพลังของเขาอีกด้วย โดยอุปกรณ์ที่ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของไอ้แมงมุมก็คือ เครื่องยิงใยแมงมุม (web-shooter) ที่เขาพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่เขาเป็นวัยรุ่น อุปกรณ์นี้สามารถปล่อยสารประกอบที่มีความเหนียวอย่างมากคล้ายใยแมงมุม ซึ่งจะสลายตัวไปหลังจากที่ถูกปล่อยออกมาแล้ว 2 ชั่วโมง[27] ไอ้แมงมุมจะติดเครื่องยิงใยแมงมุมนี้เอาไว้บริเวณข้อมือด้านในทั้งสองข้าง โดยจะมีสวิทช์ควบคุมการปล่อยอยู่บริเวณฝ่ามือ ซึ่งรูปแบบของสารประกอบที่ปล่อยออกมานั้น ก็มีรูปร่างที่ต่างกันขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการใช้ ไม่ว่าจะเป็นแบบสายยาวที่ใช้แทนเชือกในการโหนตัว แบบตาข่าย หรือแบบลูกกลมที่ใช้ในการยิงอาวุธในมือของศัตรูหรือยิงใส่ตาของศัตรู ทำให้ศัตรูมองไม่เห็นไปชั่วขณะ นอกจากนั้นแล้ว เขายังสามารถทอสารประกอบดังกล่าวให้กลายเป็นรูปทรงกลมหรือครึ่งทรงกลมมาห่อ หุ้มร่างกายเพื่อป้องกันตนเองหรือห่อหุ้มบริเวณมือเพื่อใช้แทนนวม หรือเป็นปีกขนาดใหญ่เพื่อใช้แทนเครื่องร่อนได้อีกด้วย

นอกจากเครื่อง ยิงใยแมงมุม ปาร์คเกอร์ยังได้ประดิษฐ์เครื่องนำร่องแมงมุม (spider-tracer) ซึ่งเป็นอุปกรณ์รูปร่างคล้ายแมงมุมติดสัญญาณไฟที่สามารถฉายภาพ “สัญญาณแมงมุม” (Spider-Signal) ได้ โดยต่อมาปาร์คเกอร์ยังได้ปรับแต่งเครื่องนำร่องแมงมุมนี้ให้มีกล้องถ่ายภาพ ติดเอาไว้เพื่อถ่ายภาพได้แบบอัตโนมัติอีกด้วย

ปาร์คเกอร์ยังได้ใช้ ประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์ของเบ็น เรลลี (Ben Reilly, มนุษย์เทียมที่โคลนมาจากตัวของปาร์คเกอร์เอง) ที่เรียกว่า “อิมแพ็คท์เว็บบิง” (impact-webbing) ซึ่งใช้ยิงกระสุนลูกปรายที่สามารถแผ่ออกมาเป็นใยแมงมุมหนา ๆ เพื่อห่อหุ้มร่างของผู้ที่ถูกยิงได้

ความสามารถด้านการต่อสู้
ไอ้ แมงมุมเป็นตัวการ์ตูนยอดมนุษย์ที่มีประสบการณ์การต่อสู้มากที่สุดตัวหนึ่งใน จักรวาลของมาร์เวล ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยได้รับการฝึกฝนโดยตรงทางด้านนี้เลยก็ตาม แต่เขาก็ได้รับมันจากการร่วมงานกับยอดมนุษย์ตัวอื่น ๆ จากประสบการณ์เหล่านี้เอง ทำให้ไอ้แมงมุมสามารถเอาชนะศัตรูของเขาได้ด้วยพลังและความสามารถอันมหาศาล

รูป แบบการต่อสู้ของเขาจะเป็นแบบที่ไร้รูปแบบ โดยใช้ประโยชน์จากความคล่องแคล่ว ความแข็งแกร่ง ความเร็ว และความสมดุล ที่ผสมกับประโยชน์จากสัมผัสแมงมุมที่เขามี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการต่อสู้ส่วนใหญ่ของเขามาจากไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าผสม กับการใช้สติปัญญาและสงครามจิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็นการพูดเล่นมุขตลก เล่นลิ้น และเย้ยหยัน เพื่อให้คู่ต่อสู้โมโหคลุ้มคลั่ง และช่วยให้ตนเองสามารถรับมือกับความกลัวและความกังวลต่าง ๆ ที่มีสิทธิ์เกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้ได้

เครื่องแบบ
ไอ้แมงมุมมี เครื่องแบบประจำตัวไม่มากนัก[28] โดยมีอยู่ 3 ชุดที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด นั่นคือ ชุดแมงมุมสีแดง-น้ำเงินที่ใส่เป็นประจำแทบจะทุกตอน ชุดสีขาว-ดำคล้ายมนุษย์ต่างดาว (ภายหลัง ชุดนี้ได้ถูกพัฒนาไปเป็นเครื่องแบบที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวไอ้ แมงมุม) และชุดสตาร์คอาร์เมอร์ (Stark Armor) ที่สร้างขึ้นมาโดยเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งออกแบบโดยโทนี สตาร์ค (Tony Stark) หรือไอร์ออนแมน (Ironman) เพื่อนยอดมนุษย์อีกตัวหนึ่ง นอกจากนั้นแล้ว ในชุดปกติแดงน้ำเงินของไอ้แมงมุม บางครั้งจะมีใยแมงมุมเชื่อมระหว่างต้นแขนกับข้างลำตัวด้วย ขึ้นอยู่กับการตีความของศิลปินที่วาดแต่ละคน

แอกเซล อลองโซ (Axel Alonso) บรรณาธิการของหนังสือการ์ตูนไอ้แมงมุม ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2549 ว่า ไอ้แมงมุมในหนังสือการ์ตูนจะกลับมาใส่ชุดเครื่องแบบสีดำอีกครั้ง โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นไป เพื่อสอดรับกับชุดสีดำที่ไอ้แมงมุมในภาพยนตร์เรื่อง “ไอ้แมงมุม 3” (Spider-Man 3) ที่ได้เข้าฉายทั่วโลกในช่วงเวลานั้น ใส่พอดี

ศัตรู
ไอ้ แมงมุมเป็นตัวการ์ตูนยอดมนุษย์อีกตัวหนึ่งที่มีศัตรูจำนวนมาก และศัตรูหลาย ๆ ตัวของเขาก็เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยศัตรูตัวสำคัญของเรื่องนี้ที่ถือว่ามีความเลวทรามและอันตรายที่สุดก็ ได้แก่ กรีนกอบลิน[30] ด็อกเตอร์ออคโตปุส (Doctor Octopus) และเวนอม (Venom) ส่วนศัตรูตัวอื่น ๆ ที่มีความสำคัญพอ ๆ กัน ก็ได้แก่ ลิซาร์ด (Lizard) คาเมเลียน (Chameleon) ฮอบกอบลิน (Hobgoblin) แครเวนเดอะฮันเตอร์ (Kraven the Hunter) สกอร์เปียน (Scopion) แซนด์แมน (Sandman) ไรห์โน (Rhino) มิสเทริโอ (Mysterio) วัลเจอร์ (Vulture) อีเล็คโตร (Electro) คาร์เนจ (Carnage) คิงพิน (Kingpin) และช็อคเกอร์ (Shocker) เป็นต้น ศัตรูเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับพลังพิเศษมาจากอุบัติเหตุจากการทดลองทางวิทยา ศาสตร์หรือการนำเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์มาใช้ในทางที่ผิด และศัตรูบางตัวยังมีเครื่องแบบและพลังพิเศษเหมือนสัตว์คล้ายกับไอ้แมงมุมอีก ด้วย นอกจากนั้นศัตรูบางตัวยังตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับไอ้แมงมุมด้วย เช่น กลุ่มซินิสเตอร์ซิกซ์ (Sinister Six) เป็นต้น


[แก้] ตัวละครสมทบ
เมื่อมองจากด้านตรงข้าม ไอ้แมงมุมก็คือมนุษย์ผู้หนึ่งที่ได้รับพลังพิเศษมาจากตัวแปรภายนอกเท่านั้น เพราะฉะนั้น การ์ตูนเรื่องนี้จึงมีส่วนที่เล่าถึงเรื่องราวของเขาในฐานะที่เป็นสามัญชนคน หนึ่งด้วย ซึ่งเรื่องราวในส่วนดังกล่าวนี้ก็หมายรวมไปถึงเพื่อนฝูง ครอบครัว และความรักของเขาด้วย


ป้าเมย์ (ซ้ายสุด) และแมรี เจน วัตสัน (ขวาสุด) สองตัวละครสมทบที่มีบทบาทมากที่สุดในการ์ตูนเรื่องไอ้แมงมุม
(วาด โดย ไมค์ ดีโอดาโต)ตัวละครการ์ตูนในบทบาทสมทบของไอ้แมงมุมที่มีความสำคัญและเป็นที่ รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่

ป้าเมย์ – ป้าผู้น่ารักของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ที่รับเขามาเลี้ยงดูหลังจากที่บิดาและมารดาของเขาถึงแก่กรรม และเมื่อเบนจามิน ปาร์คเกอร์ (Benjamin Parker) สามีของเธอ หรือลุงเบนของปีเตอร์ เสียชีวิตไปอีกคนหนึ่ง ป้าเมย์ก็กลายเป็นครอบครัวที่เหลืออยู่ของปีเตอร์เพียงคนเดียว ทำให้ทั้งเขาและเธอสนิทสนมกันมาก
เกว็น สแตซี – คนรักของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ สมัยที่เรียนอยู่ในวิทยาลัย ถูกสังหารโดยกรีนกอบลิน ด้วยการโยนร่างของเธอลงมาจากสะพาน
เบ็ตตี แบรนท์ (Betty Brant) – เลขานุการที่ทำงานในสำนักหนังสือพิมพ์เดลีบูเกิล ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยหลงรักกับปีเตอร์
เจ. โจนาห์ เจมสัน – ผู้บริหารเจ้าอารมณ์ประจำสำนักเดลีบูเกิล ที่ได้จ้างปีเตอร์มาทำงานในตำแหน่งช่างถ่ายภาพของสำนัก เขาเป็นผู้ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ไอ้แมงมุมและมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ สาธารณชนไม่ไว้ใจไอ้แมงมุมด้วย
โจเซฟ “ร็อบบี” โรเบิร์ตสัน (Joseph “Robbie” Robertson) – หัวหน้ากองบรรณาธิการของสำนักเดลีบูเกิล ผู้ที่คอยทำให้อำนาจของเจมสันอ่อนลง สำหรับปีเตอร์ หลังจากที่ลุงเบนของเขาจากไปแล้ว โรเบิร์ตสันก็ถือเป็นตัวแทนของบิดาของเขา
แม รี เจน วัตสัน (เอ็มเจ (MJ)) – เคยเป็นคู่แข่งหัวใจของเกว็น สแตซี ซึ่งต่อมาเธอก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทและภรรยาของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์
แฟลช ทอมพ์สัน (Flash Tompson) – เด็กเกเรที่ชอบแกล้งปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ สมัยที่ศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งต่อมาเขาทั้งสองก็ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่สุดท้ายเขาก็กลับมาเกเรอย่างเดิม เนื่องจากอาการความจำเสื่อมที่เกิดจากอุบัติเหตุทางสมอง
แฮร์รี ออสบอร์น – เพื่อนสนิทของปีเตอร์สมัยที่เรียนอยู่ในวิทยาลัย ผู้ซึ่งต่อมาได้ดำเนินตามรอยของบิดาของเขา (นอร์แมน ออสบอร์น/กรีนกอบลิน) และกลายมาเป็นกรีนกอบลินตัวที่ 2 ที่คอยจ้องทำลายไอ้แมงมุม
เฟลิเซีย ฮาร์ดีย์ (Felicia Hardy) หรือ แบล็คแคท (Black Cat) – หัวขโมยที่มีความสามารถและการแต่งตัวคล้ายแมว ผู้ซึ่งเป็นคนรักและคู่หูของไอ้แมงมุมในระดับหนึ่ง

ไอ้แมงมุม/สไปเดอร์แมน

ไอ้แมงมุม/สไปเดอร์แมน (Spider-Man) หรือ ปีเตอร์ เบนจามิน ปาร์คเกอร์ (Peter Benjamin Parker) คือ ตัวการ์ตูนยอดมนุษย์สัญชาติอเมริกันของสังกัดมาร์เวลคอมิกส์ (Marvel Comics) สร้างขึ้นมาโดยสแตน ลี (Stan Lee) และสตีฟ ดิตโก (Steve Ditko) ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูน "อแมซซิงแฟนตาซี" (Amazing Fantasy) ฉบับที่ 15 (สิงหาคม 2505) ในปัจจุบันนี้ ไอ้แมงมุมถือเป็นหนึ่งในตัวละครยอดมนุษย์ที่โด่งดังที่สุดในโลก และยังคงประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อีกด้วย

ในตอนที่ไอ้แมงมุมได้ รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 60 ในเวลานั้น ตัวละครที่เป็นวัยรุ่นในหนังสือการ์ตูนยอดมนุษย์ของอเมริกามักจะมีบทบาท เทียบเท่าตัวประกอบเท่านั้น แต่การ์ตูนชุดไอ้แมงมุมได้พังกรอบเหล่านี้ออกไป โดยให้ตัวไอ้แมงมุม ซึ่งยังเป็นวัยรุ่นอยู่ มีบทบาทของวีรบุรุษตัวเอก ที่มี "ความสนใจเฉพาะตัว พร้อมกับการถูกปฏิเสธ ความขัดสน และความอ้างว้าง" ด้วยลักษณะเช่นนี้เอง ไอ้แมงมุมจึงสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้อ่านอายุน้อยได้

นอกจากจะ เป็นตัวละครในหนังสือการ์ตูนแล้ว ไอ้แมงมุมยังปรากฏตัวในสื่ออื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นแอนิเมชัน ละครชุดทางโทรทัศน์ คอลัมภ์การ์ตูนในหนังสือพิมพ์ วีดีโอเกม และภาพยนตร์ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง

มาร์เวลได้ตี พิมพ์หนังสือการ์ตูนชุดไอ้แมงมุมออกมาจำนวนหนึ่ง โดยชุดแรกมีชื่อว่า "ดิอแมซซิงสไปเดอร์แมน" (The Amazing Spider-Man) ในหนังสือการ์ตูนแต่ละชุด จะแสดงให้เห็นพัฒนาการของตัวละครปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ตั้งแต่เป็นนักเรียนขี้อาย นักศึกษามีปัญหา ครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์[2] จนถึงสมาชิกของคณะยอดมุนษย์ที่ชื่อ "อเวนเจอร์ส" (Avengers) ส่วนในการ์ตูนชุด "สไปเดอร์เกิร์ล" (Spider-Girl) ปาร์คเกอร์ยังมีสถานะเป็นนักวิทยาศาสตร์และพ่ออีกด้วย

ลักษณะพิเศษ
ชื่อ จริง: ปีเตอร์ เบนจามิน ปาร์คเกอร์
ความสามารถพิเศษ:
มีพลัง ความแข็งแรง ความเร็ว ความคล่องแคล่ว และความยืดหยุ่นในร่างกายเหนือมนุษย์ทั่วไป
มีสติปัญญาสูง
สามารถ เกาะหรือไต่ไปตามพื้นผิวแข็งต่าง ๆ
มี "สัมผัสแมงมุม" ที่สามารถเตือนภัยที่กำลังจะมาถึงตัวได้ล่วงหน้า
สามารถมองในที่มืดได้
สามารถ รักษาตัวเองได้
มีเข็มเล็ก ๆ คล้ายขาของแมงมุม งอกออกมาบริเวณมือและแขน
สามารถพ่นใยแมงมุมออกจากบริเวณข้อมือได้
ที่มาของความสามารถพิเศษ: ถูกแมงมุมอาบกัมมันตภาพรังสีกัด

ประวัติการตีพิมพ์การ์ตูนไอ้ แมงมุม
หลังจากที่มาร์เวลคอมมิคส์ประสบความสำเร็จกับการ์ตูนชุดสี่ กายสิทธิ์ (Fantastic Four) และตัวการ์ตูนอื่น ๆ ในปี พ.ศ. 2505 แล้ว สแตน ลี บรรณาธิการและหัวหน้านักเขียนของมาร์เวล ก็คิดจะสร้างตัวการ์ตูนยอดมนุษย์ตัวใหม่ขึ้นมาอีก ซึ่งตัวการ์ตูนที่เขาคิดได้ในตอนนั้นก็คือ "สไปเดอร์แมน" หรือ "ไอ้แมงมุม" ในภาษาไทย ตัวไอ้แมงมุมนี้ เกิดขึ้นมาจากความต้องการบริโภคหนังสือการ์ตูนของวัยรุ่นชาวอเมริกันที่ เพิ่มมากขึ้น และความปรารถนาของลีที่จะสร้างตัวการ์ตูนที่วัยรุ่นมีส่วนร่วมด้วยได้ ลีได้กล่าวเอาไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาว่า เขาได้รับอิทธิพลในการสร้างตัวไอ้แมงมุมมาจากนิตยสารเกี่ยวกับนักสู้อาชญากร ที่ชื่อ "เดอะสไปเดอร์" (The Spider)[และการได้เห็นความสามารถของแมลงวันที่สามารถไต่กำแพงได้

ใน เรื่องของชื่อ "สไปเดอร์แมน" นั้น นักวาดการ์ตูน สตีฟ ดิตโก ได้กล่าวถึงที่มาของมันว่า:

ตอนที่ถกกันเกี่ยวกับไอ้แมงมุมครั้ง หนึ่ง สแตนได้พูดว่า เขาชอบชื่อฮอว์กแมน (Hawkman) แต่ทางสังกัดดีซีคอมมิคส์ (DC Comics) ได้ใช้ชื่อนี้และสร้างตัวละครตัวนี้ไปแล้ว ทางมาร์เวลก็มีแอนท์แมน (Ant-Man) กับแวสป์ (Wasp) แล้ว เพราะฉะนั้นตัวการ์ตูนตัวนี้ก็ควรจะอยู่ในหมวดแมลงด้วยจากคำพูดนี้เอง ผมก็เชื่อว่าในตอนนั้นสแตนมีชื่อที่จะตั้งให้กับตัวการ์ตูนตัวนี้แล้ว


สแตน ลี ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการกำเนิดของไอ้แมงมุมต่อมา ลีได้เข้าไปตีสนิทกับฝ่ายการพิมพ์ของมาร์เวลที่ชื่อ มาร์ติน กู๊ดแมน (Martin Goodman) เพื่อที่จะให้เขาเห็นพ้องกับการกำเนิดการ์ตูนไอ้แมงมุมขึ้นมา หลังจากที่มีการโต้แย้งกันในเรื่องนี้ สุดท้าย กู๊ดแมนก็ตกลงว่าจะให้ลีลองเอาเรื่องไอ้แมงมุมไปลงไว้ในหนังสือ "อแมซซิงอเดาท์แฟนตาซี" (Amazing Adult Fantasy) ฉบับสุดท้ายดู ซึ่งฉบับดังกล่าวนั้นเป็นฉบับที่ 15 และได้มีการเปลี่ยนชื่อหนังสือเป็น "อแมซซิงแฟนตาซี" อีกด้วย

ในปี พ.ศ. 2525 แจ็ก เคอร์บี (Jack Kirby) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ในความเป็นจริงแล้ว ลีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรตัวไอ้แมงมุมน้อยมาก นอกจากนั้นเขา (เคอร์บี) ยังอ้างว่า ตัวไอ้แมงมุมนี้มีต้นแบบมาจากตัวการ์ตูนอีกตัวหนึ่งที่ชื่อ "เดอะซิลเวอร์สไปเดอร์" (The Silver Spider) ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยตัวเคอร์บีเองร่วมกับโจ ไซมอน (Joe Simon) เพื่อจะนำไปเสนอให้ตีพิมพ์ลงหนังสือการ์ตูนแบล็คแมจิค (Black Magic) ในสังกัดเครสท์วูด (Crestwood) แต่ทางผู้ตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนดังกล่าวได้ยุติกิจการไปเสียก่อน

แต่ จากอัตชีวประวัติของไซมอน ซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2533 นั้น ได้ให้ข้อมูลที่ต่างออกไปจากคำกล่าวข้างต้นของเคอร์บี โดยไซมอนได้ยืนยันว่า เขาไม่ได้สร้างตัวการ์ตูนเดอะซิลเวอร์สไปเดอร์ขึ้นมาเพื่อที่จะตีพิมพ์ในแบ ล็คแมจิคเท่านั้น นอกจากนั้น ในตอนแรกเขาก็ตั้งชื่อให้ตัวการ์ตูนตัวนี้ว่า "สไปเดอร์แมน" เหมือนกับชื่อภาษาอังกฤษของไอ้แมงมุมในปัจจุบัน แต่ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นเดอะซิลเวอร์สไปเดอร์แทน ส่วนตัวเคอร์บีนั้น ก็มีหน้าที่วางโครงเรื่องและลายละเอียดเกี่ยวกับพลังพิเศษต่าง ๆ ของตัวการ์ตูน ไซมอนได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ฐานคติหรือคอนเซ็ปเกี่ยวกับเดอะซิลเวอร์สไปเดอร์ของทั้งเขาและเคอร์บีนั้น สุดท้ายแล้วก็ได้นำไปใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างตัวการ์ตูนยอดมนุษย์อีกตัว หนึ่งที่ชื่อ "เดอะฟราย" (The Fly) ซึ่งอยู่ในสังกัดอาชีคอมมิคส์ (Archie Comics) ของไซมอนเอง โดยเดอะฟรายนั้นเปิดตัวครั้งแรกในช่วงต้นปี พ.ศ. 2502

เก ร็ก ธีคสตัน (Greg Theakston) นักประวัติศาสตร์ด้านหนังสือการ์ตูน ได้กล่าวว่า หลังจากที่กู๊ดแมนได้ให้ความเห็นชอบกับการใช้ชื่อสไปเดอร์แมน และคอนเซ็ปท์ "วัยรุ่นธรรมดา ๆ" กับตัวการ์ตูนไอ้แมงมุมแล้ว ลีก็ได้ไปพบกับเคอร์บี โดยในการพบกันครั้งนั้น เคอร์บีได้เล่าที่มาของซิลเวอร์สไปเดอร์ ตัวการ์ตูนของเขา ให้ลีฟังว่า ซิลเวอร์สไปเดอร์เป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่กับญาติสูงอายุของเขา และวันหนึ่งเมื่อเขาได้ไปพบแหวนวิเศษ เขาก็ได้รับพลังพิเศษมาจากแหวนวงนั้น ลีกับเคอร์บีนั่งประชุมกันในประเด็นเกี่ยวกับเนื้อเรื่องของไอ้แมงมุม ซึ่งหลังจากการประชุมสิ้นสุด ลีก็ได้มอบหมายให้เคอร์บีเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับตัวไอ้แมงมุมให้ และลองวาดตัวอย่างมาให้ลีดู หลังจากนั้น 1 หรือ 2 วัน เคอร์บีได้นำการ์ตูนตัวอย่างจำนวน 6 หน้ามานำเสนอให้ลีดู เมื่อลีได้ดูแล้วเขาก็ได้กล่าวว่า “ผมไม่ชอบวิธีที่เขาสร้างมันขึ้นมา ไม่ใช่เพราะฝีมือเขาไม่ดี แต่มันยังไม่ใช่ตัวการ์ตูนที่ผมต้องการ มันออกแนวฮีโร่มากเกินไป”ทางด้านของไซมอนเอง ก็ยืนยันด้วยเหมือนกันว่า เคอร์บีได้นำเอาไอ้แมงมุมแบบดั้งเดิม (เดอะซิลเวอร์สไปเดอร์) ไปเสนอให้แก่ลี ผู้ซึ่งชอบแนวความคิดของเขา และมอบหมายให้เขาวาดตัวอย่างมาให้ดู แต่สุดท้ายลีก็ไม่ชอบผลงานที่เขาวาดออกมา ซึ่งไซมอนได้พรรณนาถึงตัวการ์ตูนที่เคอร์บีวาดเอาไว้ว่า เหมือน “กัปตันอเมริกาที่มีใยแมงมุม”

หลังจากนั้นมา ลีก็ได้หันความสนใจไปที่ดิตโก และให้ดิตโกออกแบบองค์ประกอบต่าง ๆ ของไอ้แมงมุม ทั้งเสื้อผ้าที่ใส่ และลักษณะของพลังพิเศษต่าง ๆ แทนเคอร์บี ส่วนในเรื่องของสตอรีบอร์ดนั้น ก็เป็นหน้าที่ของดิตโกอีกเช่นกัน โดยดิตโกได้สร้างร่วมกับเอริค สแตนตัน (Eric Stanton) เพื่อนร่วมชั้นเรียนในโรงเรียนศิลปะ โดยสแตนตันได้ให้สัมภาษณ์กับธีคสตันในปี พ.ศ. 2531 เกี่ยวกับเรื่องการทำงานกับดิตโกว่า เขาทั้งสอง “ได้ทำงานเกี่ยวกับสตอรีบอร์ดร่วมกัน และผมก็ได้เสริมความคิดของผมลงไปนิดหน่อย แต่เนื้องานส่วนใหญ่นั้น ได้รับการสร้างสรรค์มาจากตัวสตีฟเอง...ผมคิดว่าสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ในเรื่อง นี้ก็คือ ประเด็นที่ไอ้แมงมุมสามารถพ่นใยออกมาจากมือของเขาได้

ความ สำเร็จเชิงพาณิชย์

ไม่กี่เดือนหลังจากที่ไอ้แมงมุมได้ปรากฏตัวครั้ง แรกในหนังสือการ์ตูนอแมซซิงแฟนตาซี ฉบับที่ 15 (ส.ค. 2505) มาร์ติน กู๊ดแมน จากฝ่ายการพิมพ์ของมาร์เวลคอมมิคส์ ก็ได้พบว่า หนังสือการ์ตูนฉบับดังกล่าวนั้นได้กลายเป็นหนึ่งในหนังสือการ์ตูนของมาร์เวล ที่มียอดขายสูงที่สุด ต่อมา ไอ้แมงมุมก็ได้มีหนังสือการ์ตูนชุดเป็นของตนเอง โดยเริ่มต้นที่ “ดิอแมซซิงสไปเดอร์แมน” ฉบับที่ 1 (มี.ค. 2506) เป็นอันดับแรก ซึ่งต่อมาหนังสือการ์ตูนชุดนี้ก็ได้กลายเป็นหนังสือการ์ตูนชุดที่มียอดขาย สูงที่สุดของมาร์เวลไปอีกเช่นกัน[ และจากการสำรวจคะแนนเสียงนักศึกษามหาวิทยาลัยของสำนักเอสไควร์ (Esquire) เมื่อปี พ.ศ. 2508 ว่าใครเป็นสัญลักษณ์ในดวงใจที่มี “ความขบถ” อยู่ในตัว ของพวกเขามากที่สุด ก็ปรากฏว่า อันดับที่ 1 ก็คือไอ้แมงมุม ส่วนอันดับถัดลงมานั้น ก็คือ มนุษย์ยักษ์จอมพลัง (The Hulk) ที่เป็นตัวการ์ตูนจากสังกัดมาร์เวลเหมือนกัน นอกจากนั้นยังมีบ็อบ ดีแลน และเช กูเอวารา ติดอันดับอยู่ด้วย นักศึกษาผู้หนึ่งได้กล่าวถึงเหตุผลที่ลงคะแนนให้ไอ้แมงมุมว่า เพราะเขาถูก “ห้อมล้อมด้วยความทุกข์ ปัญหาทางด้านการเงิน และความสงสัยเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ ซึ่งพิจารณาให้ดีแล้ว เขาก็คือหนึ่งในพวกเรานั่นเอง


หลังจากที่ดิอแมซซิงสไปเดอร์แมน วางจำหน่ายถึงฉบับที่ 39 สตีฟ ดิตโก ก็ได้ยุติการวาดการ์ตูนชุดนี้ไป โดยผู้ที่มารับหน้าที่นี้ในระยะต่อมาก็คือ จอห์น โรมิตา ซีเนียร์ (John Romita, Sr.)

ในปี พ.ศ. 2513 แม้ว่าจะมีกฎห้ามไม่ให้พรรณนาเนื้อหาที่เกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือลบ ผ่านสื่อหนังสือการ์ตูนก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข ศึกษาธิการ และสวัสดิการของสหรัฐอเมริกา ก็ได้ขอร้องให้สแตน ลี ช่วยเพิ่มเนื้อหาที่เกี่ยวกับการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดลงไปในหนังสือการ์ตูน ที่ประสบความสำเร็จด้านการขายเรื่องใดเรื่องหนึ่งของมาร์เวลให้[15] ซึ่งลีก็ตอบรับ และได้เลือกดิอแมซซิงสไปเดอร์แมน ฉบับที่ 96 ถึง 98 (พ.ค. – ก.ค. 2514) ในการเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับผลเสียของการเสพยาเสพติดลงไป โดยในเนื้อเรื่องส่วนนี้ เป็นการกล่าวถึงแฮร์รี ออสบอร์น (Harry Osborn) เพื่อนของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (ไอ้แมงมุม) ที่ไปติดยาเสพติดจนทำให้ร่างกายทรุดโทรมลง ในขณะเดียวกันนั้น ก็เป็นช่วงที่ไอ้แมงมุมต้องต่อสู้กับกรีนกอบลิน (Green Goblin, หรือนอร์แมน ออสบอร์น (Norman Osborn) บิดาของแฮรี) อยู่พอดี สุดท้ายไอ้แมงมุมก็สามารถเอาชนะกรีนกอบลินได้ด้วยการให้นอร์แมนได้เห็นลูก ชายของตนเองที่กำลังเจ็บป่วยเพราะพิษยาเสพติดอยู่

ในปี พ.ศ. 2515 ไอ้แมงมุมได้ปรากฏตัวร่วมกับตัวการ์ตูนอื่น ๆ ของมาร์เวลในหนังสือการ์ตูนชุด “มาร์เวลทีมอัพ” (Marvel Team Up)

ใน ปี พ.ศ. 2519 มาร์เวลได้ออกหนังสือการ์ตูนชุดของไอ้แมงมุมมาเป็นชุดที่สอง โดยใช้ชื่อว่า “ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์, เดอะสเปคแทคูลาร์สไปเดอร์แมน” (Peter Parker, The Spectacular Spider-Man) ซึ่งได้วางจำหน่ายไปพร้อมกับดิอแมซซิงสไปเดอร์แมน ซึ่งเป็นผลงานชุดแรก

ใน ปี พ.ศ. 2528 มาร์เวลก็สร้างหนังสือการ์ตูนชุดของไอ้แมงมุมมาเป็นชุดที่สาม โดยใช้ชื่อว่า “เว็บออฟสไปเดอร์แมน” (Web of Spider-Man) ซึ่งได้นำมาจำหน่ายแทนชุดมาร์เวลทีมอัพที่ยุติการสร้างไป

ในปี พ.ศ. 2533 ก็มีการวางจำหน่ายหนังสือการ์ตูนชุดของไอ้แมงมุมเป็นชุดที่สี่ โดยคราวนี้ผู้ที่มาเขียนบทและวาดให้คือศิลปินผู้โด่งดังที่ชื่อ ทอดด์ แมคฟาร์เลน (Todd McFarlane) ซึ่งการ์ตูนชุดนี้ สามารถเปิดตัวด้วยยอดขายที่สูงถึง 3 ล้านเล่มด้วยกัน
นอกจากนั้น ยังมีการ์ตูนไอ้แมงมุมอีกอย่างน้อย 2 ชุดที่วางจำหน่ายตลอด

นอกจากจะ เป็นตัวละครเอกในชุดของตนเองแล้ว ไอ้แมงมุมยังได้ปรากฏตัวอยู่ในหนังสือการ์ตูนที่ตีพิมพ์ออกมาแบบจำกัดจำนวน และยังได้เป็นแขกรับเชิญในหนังสือการ์ตูนของขอดมนุษย์ตัวอื่นอีกด้วย

เมื่อ ดิอแมซซิงสไปเดอร์แมนวางจำหน่ายถึงฉบับที่ 441 (พ.ย. 2541) นักประพันธ์และศิลปิน จอห์น ไบร์น (John Byrne) ก็ได้นำเอาต้นกำเนิดของไอ้แมงมุมมาปรับปรุงใหม่ และนำไปสร้างเป็นหนังสือการ์ตูนชุดพิเศษที่ชื่อ “สไปเดอร์แมน: แชปเตอร์วัน” (Spider-Man: Chapter One, ธ.ค. 2541 – ต.ค. 2542)

ในเดือนมกราคม 2542 ดิอแมซซิงสไปเดอร์แมนก็ได้เริ่มวางจำหน่ายชุดที่ 2 มาเป็นฉบับแรก ซึ่งเมื่อวางจำหน่ายถึงฉบับที่ 59 ในเดือนธันวาคม 2546 จำนวนหนังสือการ์ตูนดิอแมซซิงสไปเดอร์แมนทั้งชุดที่ 1 และ 2 ก็มีจำนวนรวมกันถึง 500 ฉบับพอดี


หน้าปกหนังสือการ์ตูน "มาร์เวลแอดเวนเจอร์สไปเดอร์แมน" ฉบับที่ 1ในปี พ.ศ. 2550 ไอ้แมงมุมได้ปรากฏตัวอยู่ในหนังสือการ์ตูนชุดต่าง ๆ ของมาร์เวลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ดิอแมซซิงสไปเดอร์แมน, นิวอเวนเจอรส์ (New Avengers), เดอะเซนเซชันแนลสไปเดอร์แมน (The Sensational Spider-Man), เฟรนลีเนเบอร์ฮูดสไปเดอร์แมน (Friendly Neighborhood Spider-Man), สไปเดอร์แมนแฟมิลี (Spider-Man Family), ดิอแมซซิงสไปเดอร์เกิร์ล (The Amazing Spider-Girl), อัลทิเมตสไปเดอร์แมน (Ultimate Spider-Man), สไปเดอร์แมนเลิฟส์แมรี เจน (Spider-Man Loves Mary Jane), มาร์เวลแอดเวนเจอรส์สไปเดอร์แมน (Marvel Adventures Spider-Man), และมาร์เวลแอดเวนเจอรส์: ดิอเวนเจอรส์ (Marvel Adventures: The Avengers) นอกจากนั้น ยังรวมไปถึงหนังสือการ์ตูนชุดอื่น ๆ ที่ขายอย่างจำกัดจำนวนของมาร์เวลอีกด้วย

ในปัจจุบันนี้ ไอ้แมงมุมได้กลายมาเป็นตัวการ์ตูนที่สำคัญของมาร์เวล และมักจะถูกนำมาใช้เป็นตัวนำโชคประจำบริษัทอยู่บ่อย ๆ โดยในครั้งที่มาร์เวลได้เข้าสู่ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2534[ วารสารวอลล์สตรีท (Wall Street Journal) ก็ได้ตั้งหัวข้อข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ว่า “ไอ้แมงมุมบุกวอลล์สตรีทแล้ว” (Spider-man is coming to Wall Street) และในวันที่มีการโปรโมทหุ้นของบริษัท สแตน ลี พร้อมด้วยนักแสดงที่ใส่ชุดไอ้แมงมุมก็ได้เดินทางไปร่วมโปรโมทกันที่ตลาดหุ้น ด้วย
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ก่อความไม่สงบในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 มาร์เวลก็ต้องการจะตีพิมพ์เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ผ่านทาง การ์ตูนเรื่องหนึ่งของสังกัด ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็ได้เลือกการ์ตูนเรื่องไอ้แมงมุมเป็นตัวกลางในการถ่ายทอด เรื่องราวเหล่านั้น โดยที่เนื้อเรื่องดังกล่าวอยู่ในหนังสือการ์ตูนชุดดิอแมซซิงสไปเดอร์แมน ฉบับเดือนธันวาคม 2544

ในปี พ.ศ. 2549 หลังจากที่มีข่าวว่า ไอ้แมงมุมจะถอดหน้ากากของตนเองออก เพื่อเผยว่าผู้ที่อยู่ใต้หน้ากากนั้นก็คือปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ในหนังสือการ์ตูนชุด "มาร์เวล: ซิวิลวอร์" (Marvel: Civil War) สื่อมวลชนในโลกแห่งความจริงหลาย ๆ แห่งต่างก็ลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสท์ของสหรัฐอเมริกาที่ลงข่าวดังกล่าวนี้หนึ่งหน้า กระดาษหนังสือพิมพ์เต็ม ๆ โดยได้ลงเอาไว้ก่อนที่หนังสือการ์ตูนตอนดังกล่าวจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทาง การเสียอีก

Ironman แบบญี่ปุ่น


ironhero.jpg

Ironman ในแบบต่างๆ

...
...
อันดับที่ 7 ชุดนี้มาจากภาพยนตร์
...
อันดับที่ 8 ชุดนี้มาจากภาพยนตร์
...
...

Ironman ในแบบต่างๆ

...
...

...
...

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มาดูรถของBatmanกัน

รถของมนุษย์ค้างคาวถือว่าเป็นรถในฝันของคน รักรถมาแต่ไหนแต่ไร รวมถึงกระทาชายชาวสวีดิชคนหนึ่งที่ยอมลงทุนถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯและเวลาในการสร้างอีก 3 ปีครึ่ง เพื่อจะเปลี่ยน Lincoln Continental รุ่นปี 1973 ให้กลายเป็นรถมนุษย์ค้างคาวที่มีแรงม้า 700 ตัว ในเวอร์ชั่นของ Tim Burton ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่มีใครทราบเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกรถรุ่นเก๋ากึ๋กคันนี้ แต่ที่แน่ๆ รถคันนี้มีการติดตั้งปืนกล(ซึ่งไม่มีการระบุว่าใช้ได้จริงหรือไม่ แต่คาดว่าน่าจะเป็นของปลอมมากกว่าเพราะออกมาโชว์ตัวในท้องถนนได้แบบนี้) มีการติดตั้งกล้องมองหลัง มีการปรับระดับความสูงของรถพื้นฐานลง มีโทรทัศน์จอพลาสม่า ระบบควบคุมการทำงานด้วยเสียง ระบบนำทางผ่านดาวเทียม และเครื่องเล่น DVD นอกจากภาพที่นำมาให้ชมแล้วยังมีวิดีโอของรถรุ่นนี้ด้วยครับ

ที่มาautospinn.com

Posted Image
Posted Image
Posted Image
Posted Image